สมัตปาสาทิกาแปล อรรถกถาพระวินัย
มหาวิภังควรรณนา
ภาค 2
เตรสกัณฑวรรณนา
เตรสกะ (หมวด 13) ที่พระธรรมสังคาหกาจารย์
ทั้งหลายได้ร้อยกรองไว้ในลำดับแห่งปาราชิกกัณฑ์
มีการพรรณนาบทที่ยังไม่มีในก่อน ดังต่อไปนี้
สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ 1
สุกกวิสัฏฐิสิกขาบทวรรณนา
[ แก้อรรถปฐมบัญญัติเรื่องพระเสยยสกะ ]
บัณฑิตพึงทราบวินิจฉัย ในคำว่า " โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถปิณฑิกคฤหบดี
เขตพระนครสาวัตถี. ก็ในสมัยนั้นแล ท่านพระเสยยสกะ
ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ " นี้ ดังต่อไปนี้ :-
คำว่า อายสฺมา เป็นคำไพเราะ
บทว่า เสยฺยสโก เป็นชื่อของภิกษุรูปนั้น.
คำว่า อนภิรโต ความว่า เป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่าน คือ ถูกความเร่า
ร้อนเพราะกำหนัดในกามแผดเผาอยู่ แต่ไม่ปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์.
ข้อว่า โส เตน กิโส โหติ ความว่า พระเสยยสกะนั้น
ย่อมเป็นผู้ผ่ายผอม เพราะความเป็นผู้ไม่ยินดีนั้น.
ในคำว่า อทฺทสา โข อายสฺมา อุทายี นี้มีวินิจฉัยดังนี้ :-
ในคำว่า อุทายี เป็นชื่อของพระเถระนั้น. จริงอยู่ พระเถระ
ชื่อโลลุทายีนี้ เป็นอุปัชฌาย์ ของพระเสยยสกะ เป็นผู้มีส่วน
เปรียบด้วยเนื้อตื่น คือ เป็นภิกษุโลเลรูปใดรูปหนึ่ง บรรดาภิกษุผู้
ตามประกอบเหตุแห่งความเกียจคร้าน มีความเป็นผู้มีความหลับนอน
เป็นที่มายินดีเป็นต้น.
บทว่า กจฺจิ โน ตฺวํ ไขความว่า กจฺจิ นุ ตฺวํ แปลว่าท่าน...
ละหรือหนอ . พึงทราบวินิจฉัยย ในคำมีอาทิว่า ยาวทตฺถํ ภุญฺช
ดังต่อไปนี้ :- ความต้องการมีประมาณเพียงใด ชื่อว่า ยาวทัตถะ
(เท่าที่ต้องการ). มีคำอธิบายว่า " เธอมีความประสงค์ด้วยโภชนะ
ประมาณเท่าใด, คือ เธอต้องการประมาณเท่าใด, จงบริโภคประมาณ
เท่านั้น, หรือว่า เธอปรารถนาเพื่อจะหลับในเวลากลางคืน หรือกลาง
วัน สิ้นกาลประมาณเท่าใด, จงหลับสิ้นกาลประมาณเท่านั้น, เธอ
ปรารถนาการชะโลมกายด้วยดินเหนียวเป็นต้น ขัดสีด้วยแป้งเป็นต้น
แล้วอาบน้ำประมาณเท่าใด, จงอาบน้ำประมาณเท่านั้น, ไม่มีประโยชน์
ด้วยบาลี อรรถกถา ข้อวัตรปฏิบัติ หรือด้วยกรรมฐาน. "
คำว่า ยทา เต อนภิรติ อุปฺปชฺชติ ความว่า ในกาลใด
ความกระสัน คือ ความเป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่าน ด้วยอำนาจแห่งความกำหนัด
ในกาม เกิดแก่เธอ.
คำว่า ราโค จิตฺตํ อนุทฺธํเสติ ความว่า กามราคะ
ย่อมกำจัด ทำลาย คือ ซัดส่ายจิตไปมา และทำจิตให้เหี่ยวแห้ง.
ข้อว่า ตทา หตฺเถน อุปกฺกมิตฺวา อสุจึ โมเจหิ มีความว่า
ในกาลนั้น เธอจงเอามือพยายามกระทำการปล่อยอสุจิ, จริงอยู่
ด้วยการกระทำอย่างนี้ เอกัคคตาจิต จักมีแก่เธอ, อุปัชฌายะพร่ำสอน
เธออย่างนี้ เช่นกับคนโง่สอันคนโง่ คนใบ้สอนคนใบ้ ฉะนั้น.
[ แก้อรรถปฐมบัญญัติเรื่องภิกษุหลายรูป ]
คำว่า เตสึ ฯ เป ฯ โอกฺกมนฺตา มีความว่า เมื่อภิกษุเหล่านั้น
ละสติสัมปชัญญะจำวัด. ในคำนั้น มีวินิจฉัยดังนี้ :- เมื่อภิกษุทั้งหลาย
กำลังจำวัด ภวังควารที่เป็นอัพยากฤตเป็นไปอยู่, สติสัมปชัญญวาร
จะคลาดไป แม้ก็จริง ; ถึงกระนั้น ในการจำวัด ภิกษุควรทำมนสิการ.
ภิกษุเมื่อจะจำวัดในกลางวัน พึงจำวัดพร้อมด้วยความอุตสาหะว่า
" เราจักจำวัดชั่วเวลาที่ผมของภิกษุผู้สรงน้ำ ยังไม่แห้ง แล้วจักลุกขึ้น "
ดังนี้. จะจำวัดในเวลากลางคืน พึงเป็นผู้มีความอุตสาหะจำวัดว่า
" เราจักหลับสิ้นส่วนแห่งราตรี ชื่อมีประมาณเท่านี้ แล้วลุกขึ้นในเวลา
ที่ดวงจันทร์ หรือดวงดาวโคจรมาถึงสถานที่ชื่อนี้. "
อีกอย่างหนึ่ง พึงกำหนดกรรมฐานอย่างหนึ่ง ในบรรดา
กรรมฐานทั้ง 10 มีพุทธานุสติเป็นต้น หรือกรรมฐานที่ใจชอบ
อย่างอื่น แล้วจึงจำวัด. ก็เมื่อภิกษุกระทำเช่นนั้น ท่านเรียกว่า " มี
สติสัมปชัญญะ คือ ไม่ละสติและสัมปชัญญะจำวัด." ก็ภิกษุเหล่านั้น
เป็นคนโง่ โลเล มีส่วนเปรียบด้วยเนื้อตื่น ไม่ได้กระทำอย่างนั้น.
ด้วยเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลาย จึงกล่าวว่า เตสํ
ฯ เป ฯ โอกฺกมนฺตานํ ดังนี้.
ข้อว่า อตฺถิ เจตฺถ เจตนา อุปลพฺภติ มีความว่า ก็ความจงใจ
ยินดีในความฝันนี้ มีอยู่ คือหาได้อยู่.
ข้อว่า อตฺเถสา ภิกฺขเว เจตนา สา จ โข อพฺโพหาริกา
มีความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เจตนาเป็นเหตุยินดี นี้ มีอยู่, แต่
เจตนานั้นแล ชื่อว่า เป็นอัพโพหาริก คือ ไม่เป็นองค์แห่งอาบัติ
เพราะบังเกิดในฐานอันไม่ใช่วิสัย.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงความที่เจตนาในความฝัน
เป็นอัพโพหาริก ด้วยประการอย่างนี้แล้ว จึงทรงบัญญัติสิกขาบท
พร้อมทั้งอนุบัญญัติว่า " ภิกษุทั้งหลาย ! ก็แล เธอทั้งหลาย พึงสวด
สิกขาบทนี้ อย่างนี้ว่า ' การปล่อยสุกกะเป็นไปด้วยความจงใจ '
เว้นไว้แต่ฝัน เป็นสังฆาทิเสส " ดังนี้.
[ อธิบายสิกขาบทวิภังค์ ว่าด้วยสัญเจตนิกาศัพท์ ]
ในสิกขาบทนั้น มีวินิจฉัยยดังต่อไปนี้ :- เจตนาแห่งการปล่อย
สุกกะนั้น มีอยู่; เหตุนั้น การปล่อยสุกกะนั้น จึงชื่อว่า สัญเจตนา
(มีเจตนา). สัญเจตนานั่นแหละ ชื่อสัญเจตนิกา. อีกอย่างหนึ่ง ความ
จงใจ ของการปล่อยสุกกะนั้น มีอยู่; เหตุนั้น การปล่อยสุกกะนั้น จึงชื่อ
ว่าสัญเจตนิกา (มีความจงใจ). การปล่อยสุกกะมีความจงใจ เป็นของ
ภิกษุใด, ภิกษุนั้นเป็นผู้รู้ คือ รู้สึกตัว, และการปล่อยสุกกะนั้น ของ
ภิกษุนั้น เป็นการแกล้ง คือ ฝ่าฝืนล่วงละเมิด; เพราะเหตุนั้น เพื่อ
แสดงแต่ใจความเท่านั้น ไม่ทำความเอื้อเฟื้อในพยัญชนะ พระผู้มี
พระภาคจึงตรัสบทภาชนะแห่งบทว่า สญฺเจตนิกา นั้น อย่างนี้ว่า " อาการ
ที่รู้ คือ รู้สึก แกล้ง คือ ฝ่าฝืน ล่วงละเมิด " (ชื่อว่ามีความจงใจ).
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชานนฺโต ได้แก่รู้อยู่ว่า " เรากำลัง
พยายาม."
บทว่า สญฺชานนฺโต ได้แก่รู้สึกตัวอยู่ว่า " เรากำลังปล่อยสุกกะ"
อธิบายว่า " รู้พร้อมกับอาการที่พยายามและความรู้นั้นนั่นเอง."
บทว่า เจจฺจ ได้แก่ แกล้ง คือ จงใจ ด้วยอำนาจเจตนา คือ
ความยินดีในการปล่อย.
บทว่า อภิวิตริตฺวา ได้แก่ เมื่อฝ่าฝืนด้วยอำนาจความพยายาม
ส่งจิตอันปราศจากดวามรังเกียจไป.
บทว่า วีติกฺกโม มีคำอธิบายว่า " ความล่วงละเมิดใด
ของภิกษุผู้ประพฤติอย่างนั้น, ความล่วงละเมิดนี้นั้น เป็นใจความ
สุดยอดแห่งสัญเจตนิกาศัพท์."
บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดำว่า สุกฺกนฺติ ทส สุกฺกานิ เป็นต้น
ก็เพื่อแสดงสุกกะและการปล่อย ในบทว่า สุกฺกวิสฏฺฐิ นี้ โดย
จำนวน และโดยความต่างแห่งสีก่อน. ในจำนวนและความต่างแห่ง
สีนั้น พึงทราบความต่างแห่งสีมีสีเขียวเป็นต้น โดยความต่างแห่งที่
อาศัยของสุกกะทั้งหลาย และโดยความเป็นต่าง ๆ แห่งธาตุ. การสละ
ชื่อว่า การปล่อย. ก็คำว่า ปล่อยนี้ โดยใจความ เป็นการทำให้เคลื่อน
จากฐาน. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า " กิริยาที่ทำให้
เคลื่อนจากฐาน เรียกว่าปล่อย." ในคำนั้น พระอาจารย์ทั้งหลาย
กำหนดฐานแห่งสุกกะไว้ 3 ส่วน คือ กระเพาะเบา 1 สะเอว 1 กาย 1.
ได้ยินว่าพระอาจารย์รูปหนึ่งกล่าวว่า " กระเพาะเบาเป็นฐานของสุกกะ "
รูปหนึ่งกล่าวว่า " สะเอวเป็นฐานของสุกกะ" รูปหนึ่งกล่าวว่า
" กายทั้งสิ้น."
ใน 3 อาจารย์นั้น ภาษิตของรูปที่ 3 กล่าวชอบ. เพราะว่า
เว้นที่ซึ่ง ผม ขน เล็บ และฟัน พ้นจากเนื้อ และอุจจาระปัสสาวะ
น้ำลายน้ำมูก และหนังที่แห้งเสียแล้ว กายแม้ทั้งหมดที่เหลืออซึ่งมี
หนังและเนื้อ้อนโลหิตเดินได้ตลอด เป็นฐานของกายประสาท ภาวะ
ชีวิตินทรีย์และดีไม่เป็นฝัก และเป็นฐานของน้ำสมภพเหมือนกัน. จริง
อย่างนั้นน้ำสมภพ ย่อมไหลออกทางหมวกหูทั้งสองของช้างทั้งหลาย ที่
ถูกดวามกลัดกลุ้มด้วยราคะครอบงำแล้ว. และพระเจ้ามหาเสนะผู้
ทรงกลัดกลุ้มด้วยราคะ ไม่ทรงสามารถจะอดทนกำลังน้ำสมภพได้
จึงรับสั่งให้ผ่าต้นพระพาหุด้วยมีด ทรงแสดงน้ำสมภพ ซึ่งไหลออก
ทางปากแผล ฉะนี้แล.
ก็บรรดาวาทะเหล่านี้ ในวาทะของอาจารย์ที่หนึ่ง เมื่อภิกษุ
พยายามที่นิมิตด้วยความยินดีจะให้เคลื่อน แมลงวันน้อย ๆ ตัวหนึ่ง