มังคลัตถทีปนี แปล
เล่ม 5
พรรณนาความแห่งคาถาที่ 9*
[469] พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ 9 ดังนี้ : กิจมีการสำรวม
อินทรีย์เป็นต้น ชื่อว่า ตบะ. กิจมีการเว้นจากเมถุนเป็นต้น ชื่อว่า
พรหมจรรย์. การเห็นมรรคด้วยสามารถการตรัสรู้อริยสัจ 4 ชื่อว่าอริย-
สัจจานทัสสนะ. การบรรลุหรือการพิจารณาเห็นพระนิพพานกล่าวคือ
พระอรหัตตผล ชื่อว่า นิพพานสัจฉิกิริยา. บทว่า เอตํ เป็นต้น
ความว่า เทพดา ท่านจงถือว่า "ตบะ 1 พรหมจรรย์ 1 การเห็น
มรรคด้วยสามารถการตรัสรู้อริยสัจ 1 การทำพระนิพพานให้แจ้ง 1
กรรม 4 อย่าง มีตบะเป็นต้นนี้ เป็นมงคลอันสูงสุด." ความ
สังเขปในคาถาที่ 9 นี้เท่านี้ ส่วนความพิสดารในคาถาที่ 9 นี้
ดังต่อไปนี้ : -
* พระมหาฉาย สุวฑฺฒโน ป. ธ. 8 วัดบวรนิเวศวิหาร แปล.
กถาว่าด้วยตบะ
[470] ธรรมเป็นเครื่องเผาผลาญบาป ชื่อว่า ตบะ. ด้วย
เหตุนั้น ในอรรถกถา1 ท่านจึงกล่าวว่า "ธรรมที่ชื่อว่า ตบะ เพราะ
อรรถว่าเผาผลาญซึ่งธรรมทั้งหลายอันลามก."
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตปติ ความว่า ย่อมยังบาปธรรม
ทั้งหลายให้เร่าร้อน. ด้วยเหตุนั้น พระศัพทศาสตราจารย์ จึงกล่าว
ไว้ในหมวดธาตุมี ภู 2ธาตุเป็นต้นว่า "ตป ธาตุ ลงในอรรถว่ายัง
บาปธรรมทั้งหลายให้เร่าร้อน สำเร็จรูปเป็น ตปติ." หมวดธาตุมี
จุร 3ธาตุเป็นต้นว่า "ตป ธาตุ ลงในอรรถว่า เผาผลาญ สำเร็จรูป
เป็น ตเปติ. ลงในการีต สำเร็จรูปเป็น ตาเปติ." ศัพท์คือ ตป เป็น
ไปในธรรมและวัตร. ด้วยเหตุนั้น ในปทาเนกัตถวรรค4 ท่านอาจารย์
โมคคัลลานะ จึงกล่าวว่า "ศัพท์คือ ตป เป็นไปในธรรมและใน
วัตร."
ฎีกาปทาเนกัตถวรรคนั้นว่า "ศัพท์คือ ตป นั้น เป็นไปใน
วัตร คือทิฏฐิสมาจาร ( ความประพฤติโดยเอื้อเฟื้อด้วยดีด้วยอำนาจ
ความเห็น ).
[471] คุณมีขันติเป็นต้น ชื่อว่า ธรรม. จริงดังนั้น ขันติ ชื่อว่า
ตบะ ( มา ) ในบาทคาถานี้ว่า "ความอดกลั้นคือความทนทาน เป็น
1. ป. โช. ขุ. ขุ. 66. 2. ป. โช. ขุ. สุ. 2/220 3. สทฺทนีติธาตุมาลา 220
4.อภิธานปฺปทีปิกา คาถาที่ 2062. แต่พยัญชนะต่างกันเล็กน้อย.
ตปธรรมอย่างยิ่ง.
ศีลชื่อว่าตบะ ( มา ) ในโลมสกัสสปชาดก1 "เราจักละกาม
ทั้งหลายทำตบะ."
อุโบสถกรรม ชื่อว่าตบะ ( มา ) ในมหาหังสชาดก2ว่า
"เราพิจารณาเห็นกุศลธรรมเหล่านั้น คือ ทาน 1
ศีล 1 บริจาค 1 ความซื่อตรง 1 ความอ่อน
โยน 1 ตบะ 1 [ ความไม่โกรธ 1 ความไม่
เบียดเบียน 1 ความอดทน 1 ความไม่ยินร้าย 1
ซึ่งตั้งอยู่แล้วในตน.]"
กิจมีการเรียนพระพุทธพจน์เป็นอาทิ ก็ชื่อว่า ตบะ ( มา ) ใน
บาทคาถานี้ว่า "ความเพียรเครื่องเผาผลาญกิเลสของหมู่ชนผู้พร้อม
เพรียงกัน เป็นเหตุนำสุขมาให้."
ด้วยเหตุนั้น ในอรรถกถาธรรมบท ท่านจึงกล่าวว่า "ก็การ
เรียนพระพุทธพจน์ก็ดี การรักษาธุดงค์ก็ดี การกระทำสมณธรรม
ก็ดี แห่งชนผู้พร้อมเพรียงกันทั้งหลาย คือหมู่ชนผู้มีจิตเป็นอันเดียวกัน
ย่อมนำสุขมาให้; เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาค จึงตรัสว่า "สมคฺคานํ
ตโป สุโข."
[472] ส่วนในฎีกาเทวปุตตสังยุต ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า
"ก็ธรรมคือธุดงค์ ชื่อว่า ตบะ เพราะเผาผลาญ ความละโมภ ด้วย
1.ชาตกฏฺฐกถา. 5/386 2. ชาตกฏฺฐกถา 8 278
อำนาจแห่งตัณหา. ในหมวดธาตุมี จุร1 ธาตุเป็นต้น ท่านกล่าวว่า
"ศีล ชื่อว่าตบะ ในบทว่า ตโป นี้ เพราะอรรถว่า ยังอกุศลกรรม
ทั้งหลายให้เร่าร้อน
แต่ในมงคลข้อว่า ตโป นี้ กุศลกิจมีการสำรวมอินทรีย์เป็นต้น
ชื่อว่า ตบะ. ด้วยเหตุนั้น ในอรรถกถา2 ท่านจึงกล่าวว่า "การ
สำรวมอินทรีย์ ชื่อว่า ตบะ เพราะเผาผลาญอกุศลเจตสิกธรรมมี
อภิชฌาและโทมนัสเป็นต้น. อีกนัยหนึ่ง ความเพียรชื่อว่า ตบะ
เพราะเผาผลาญความเกียจคร้าน.
บรรดาความสำรวมอินทรีย์และความเพียรทั้ง 2 นั้น ความ
สำรวมด้วยสติ ชื่อว่า อินทรียสังวร. ก็ความสำรวมด้วยสตินั้น โดย
ความก็คือตัวสติ. ด้วยเหตุนั้น ในฎีกามูลปริยายสูตร ท่านจึงกล่าว
ว่า "คุณเครื่องสำรวมอินทรีย์ ชื่อว่า สติสังวร. และคุณเครื่อง
สำรวมอินทรีย์นั้น เป็นไปแล้วอย่างนั้นนั่นแล ( ชื่อว่า สติสังวร. )"
อรรถกถา3สัพพาสวสูตรว่า "ธรรมที่มีชื่อว่า สังวร เพราะเป็น
เครื่องกั้น. ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ว่า "เพราะปิด คือกั้นไว้" คำว่า
สํวโร นั่น เป็นชื่อของสติ.
[473] ความจริง บุคคลผู้สำรวมด้วยการสำรวมอินทรีย์ ชื่อ
ว่า ย่อมรักษาอินทรีย์ทั้งหลายเพื่อละอกุศลเจตสิกธรรมมีอภิชฌาเป็นต้น.
ด้วยเหตุนั้น ในจตุตถวรรคปฐมปัณณาสก์ ในจตุกกนิบาต
1. สทฺทนีติ ธาตุมาลา. 221. 2. ป. โช. ขุ. ขุ. 167. 3. ป. สู. 1/104
อังคุตตรนิกาย1 พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุ
ชื่อว่า เป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลายอย่างไร ? ภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้เห็นรูปด้วยตาแล้ว เป็นผู้ไม่ถือโดย
นิมิต ( คือรวบถือ ) เป็นผู้ไม่ถือโดยอนุพยัญชนะ ( คือแยกถือ )
อกุศลธรรมทั้งหลายอันลามก คืออภิชญาและโทมนัส พึงซ่านไป
ตาม ( ครอบงำ ) บุคคลผู้ไม่สำรวมอินทรีย์คือจักษุนั้นอยู่ เพราะการไม่
สำรวมอินทรีย์คือจักษุใดเป็นเหตุ, ย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมอินทรีย์คือ
จักษุ ย่อมรักษาอินทรีย์คือจักษุ ย่อมถึงความสำรวมในอินทรีย์
คือจักษุ. ภิกษุฟังเสียงด้วยหู ฯ ล ฯ สูดกลิ่นด้วยจมูก ฯ ล ฯ ลิ้ม
รสด้วยลิ้น ฯ ล ฯ ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ฯ ล ฯ รู้ธรรมารมณ์
ด้วยใจแล้ว เป็นผู้ไม่ถือโดยนิมิต ฯ ล ฯ ย่อมถึงความสำรวมใน
อินทรีย์คือใจ ภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุ เป็นผู้ชื่อว่ามีทวาร
อันสำรวมแล้ว ในอินทรีย์ทั้งหลาย."
บาลีอปริหานิสูตร จบ.
[474] อรรถกถา2ติกนิบาต อังคุตตรนิกายว่า "สองบทว่า
อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร ความว่า เป็นผู้มีทวารอันตนปิดแล้วใน
อินทรีย์ทั้งหลายมีใจเป็นที่ 6."
อรรถกถา3ทุกนิบาตในอิติวุตตกะว่า "บทว่า อคุตฺตทฺวาโร
คือ ผู้มีทวารอันไม่ปิดแล้ว เพื่อเฉลยคำถามว่า "ก็ภิกษุเป็นผู้มีทวาร
อันไม่คุ้มครองแล้วในธรรมอะไร ? พระผู้มีพระภาค จึงตรัสว่า "ใน
1. องฺ. จตุกฺก 21/50. 2. มโน. ปู. 3/104. 3. ป. ที. อิติ. 127.
อินทรีย์ทั้งหลาย."
ปกรณ์1วิเสสชื่อวิสุทธิมรรคว่า " หลายบทว่า จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา
ความว่า เห็นรูปด้วยวิญญาณอันอาศัยจักษุซึ่งสามารถในการเห็นรูปอัน
ได้โวหารว่า จักษุ ด้วยอำนาจแห่งเหตุ. บทว่า น นิมิตฺตคฺคาหี
ความว่า ภิกษุไม่ยึดถือซึ่งสตรีนิมิตและบุรุษนิมิต หรือนิมิตอันเป็น
ที่ตั้งแห่งกิเลสมีสุภนิมิตเป็นต้น คือย่อมตั้งอยู่ในนิมิตสักว่าเห็นแล้ว
เท่านั้น. บทว่า นานุพฺยญฺชนคฺคาหี ความว่า ไม่ยึดถือซึ่งอาการอัน
ต่างโดยมือ เท้า การหัวเราะ ยิ้มแย้ม เจรจา และ เหลียวดูเป็นต้น
อันได้โวหารว่า อนุพยัญชนะ เพราะปรากฏเนือง ๆ คือการกระทำ
ความเป็นของปรากฏแห่งกิเลสทั้งหลาย ได้แก่ ถือเอาซึ่งอวัยวะน้อย
ใหญ่อันมีอยู่ในสรีระนั้นอย่างเดียว. ในคำว่า ยตฺวาธิกรณเมนํ เป็น
ต้น พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ : ธรรมมีอภิชฌาเป็นต้นเหล่านั่น พึงซ่าน
ไปตาม คือติดตามบุคคลผู้นั้น คือผู้ไม่สำรวมอินทรีย์คือจักษุ ได้แก่
เป็นผู้ไม่ปกปิดจักษุทวารด้วยบานประตูคือสติอยู่ เพราะเหตุใด ? คือ
เพราะเหตุแห่งการไม่สำรวมอินทรีย์คือจักษุใด ? หลายบทว่า ตสฺส
สํวราย ปฏิปชฺชติ ความว่า ย่อมปฏิบัติเพื่อประโยชน์ แก่การปิด
อินทรีย์คือจักษุนั้น ด้วยบานประตูคือสติ. ก็ภิกษุผู้ปฏิบัติอยู่โดยอาการ
อย่างนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกว่า ย่อมรักษาอินทรีย์คือจักษุ
บ้าง, ว่า "ย่อมถึงความสำรวมในอินทรีย์คือจักษุบ้าง."
[475] ฎีกา2วิสุทธิมรรคว่า "บทว่า การณวเสน คือ ด้วย
1. วิ. ม. 1/24. 2. ป. มญฺ. 7/69.