มังคลัตถทีปนี แปล
เล่ม 3
พรรณาความแห่งคาถาที่* 5
[1] พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ 5. เจตนาเป็นเหตุให้ ชื่อว่า
ทาน. ความประพฤติ คือการทำซึ่งธรรม ชื่อว่าธรรมจริยา.
บทว่า ญาตกานํ ความว่า การสงเคราะห์ซึ่งญาติทั้งหลาย
ของตน.
บทว่า อนวชฺชานิ ได้แก่ กรรมทั้งหลายมีอุโบสถกรรมเป็นต้น
ไม่มีโทษ คือบัณฑิตไม่นินทา ไม่ติเตียน.
บทว่า เอตํ ความว่า เทพดา ท่านจงถือว่า "ทาน 1 การ-
ประพฤติธรรม 1 การสงเคราะห์ญาติ 1 กรรมอันไม่มีโทษ 1 กรรม
4 อย่างมีทานเป็นต้นนี้ เป็นมงคลอย่างสูงสุด."
ความสังเขปในคาถาที่ 4 นี้ เท่านี้.
ส่วนความพิสดารในคาถาที่ 5 นี้ ดังต่อไปนี้ :-
* พระมหาเจริญ สุวฑฺฒโน ป. ธ. 7 วัดบวรนิเวศวิหาร แปล. (บัดนี้เป็นสมเด็จพระญาณสังวร
ป. ธ. 9)
กถาว่าด้วยทาน
[ทาน 3 อย่าง]
[2] ชื่อว่าทาน มี 3 อย่าง ด้วยอำนาจจาคเจตนา วิรัติและ
ไทยธรรม.
จริงอย่างนั้น จาคเจตนา ชื่อว่าทาน ในทาน1สูตรในอัฏฐกนิบาต
อังคุตตรนิกายว่า " สัทธา 1 ความมีหิรี 1 ทานอันเป็นกุศล 1 ดังนี้
เป็นต้น.
อรรถกถา2ทานสูตรนั้นว่า "อริยสาวก ย่อมให้ทานด้วยสัทธาใด
สัทธานั้น พระผู้มีพระภาคทรงประสงค์ว่า สทฺธา ในคาถานั้น.
อริยสาวกย่อมให้ทานด้วยหิริใด หิรินั้นแล ทรงประสงค์ว่า หิริยํ.
ทานอันไม่มีโทษ ชื่อว่าทานอันเป็นกุศล.
วิรัติ ชื่อว่าทาน ในอาคตสถาน (ที่มาแห่งทาน) ว่า "อริยา-
สาวก ย่อมให้อภัย."
ในคำว่า อภยํ เทติ นั้น มีอธิบายว่า ย่อมทำอภัยทาน คือ
สมาทานวิรัติ กล่าวคือ เบญจศีล.
วิรัติทานนี้ จักมีแจ้งในมงคลข้อว่า อารตี วิรตี วิรตี ปาปา (การ
งดเว้นจากบาป) นั้น.
ไทยธรรม ชื่อว่าทาน ในอาคตสถาน (ที่มาแห่งทาน) ว่า
"อริยสาวก ย่อมให้ทาน คือข้าวและน้ำ" ดังนี้เป็นต้น.
1. องฺ อฏฺฐก 23/240. 2. มโน. ปู. 3/288.
[วิเคราะห์ทาน]
[3] แม้ในอรรถกถา1กถาวัตถุ ท่านก็กล่าวว่า "บรรดาทาน 3
อย่างนั้น จาคเจตนาชื่อว่าทาน เพราะวิเคราะห์ว่า จาคเจตนาย่อม
ให้ไทยธรรม, อีกอย่างหนึ่ง ชนทั้งหลายย่อมให้ไทยธรรมด้วยเจตนา
นั่น. วิรัติชื่อว่าทาน เพราะอรรถว่าบั่นรอน และเพราะอรรถว่าตัด.
แท้จริง วิรัตินั้นเมื่อเกิดขึ้น ย่อมบั่นรอนและตัดเจตนาแห่งผู้ทุศีล
กล่าวคือ ความกลัวและความขลาดเป็นต้น เหตุนั้น จึงชื่อว่าทาน.
ไทยธรรมชื่อว่าทาน เพราะอรรถว่า อันเขาให้ ดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า
" ทานนี้ถึงมี 3 อย่างดังกล่าวมา โดยความก็มี 2 อย่าง คือ ธรรม
อันเป็นไปทางใจ 1 ไทยธรรม 1" ดังนี้.
บรรดาทาน 2 อย่างนั่น ความที่ทานเป็นมงคล ในทานอัน
เป็นไปทางใจ จึงจะชอบ ในทานที่ไม่เป็นไปทางใจ ไม่ชอบ เพราะ
ฉะนั้น ทานคือไทยธรรม อันไม่เป็นไปทางใจ จึงไม่ได้ในมงคลข้อ
ว่าทานนี้. วิรัติแม้นั้นก็ไม่ได้ในมงคลข้อนี้ เพราะวิรัติแม้ในทานอัน
เป็นไปทางใจ พระผู้มีพระภาคทรงถือเอาด้วยการเว้นจากบาปและ
ความสำรวมจากการดื่มน้ำเมาข้างหน้า เพราะฉะนั้น พึงเห็นสันนิษฐาน
โดยปาริเสสนัย2ว่า จาคเจตนา ชื่อว่าทาน. ก็คำว่า เจตนา ท่าน
กล่าวไว้ด้วยอำนาจคำเป็นประธาน. แม้ความไม่โลภที่ประกอบด้วย
จาคเจตนานั้น ก็ชื่อง่าทาน เพราะมีจาคเจตนานั้นเป็นคติ.
1. ป. ที. 254. 2. นัยที่แสดงอรรถยังเหลือ คือ คำบางคำ เช่น ทาน มีความหายหลาย
อย่าง แต่ในบางแห่งแสดงจำกัดความหมายเพียงเดียว ฯลฯ ความหมายอื่นที่มิได้มุ่งไว้
ไม่กล่าวถึง นี้ชื่อว่าแสดงโดยปาริเสสนัย.
ด้วยเหตุนั้น ในอรรถกถา1 ท่านจึงกล่าวว่า "เจตนาเป็นเหตุ
บริจาคทาน อันมีวัตถุ 10 มีข้าวเป็นต้น ซึ่งมีปัญญาเครื่องรู้ดีเป็น
เบื้องหน้า เฉพาะบุคคลอื่น ชื่อว่าทาน อีกอย่างหนึ่ง ความไม่โลภ
อันประกอบกับจาคเจตนานั้น ก็ชื่อว่าทาน."
[4] บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุพุทฺธิปุพฺพิกา ความว่า
มีสัมมาทิฏฐิไปในเบื้องหน้า. จริงอยู่ สัมมาทิฏฐิอันเป็นไปโดยนัยว่า
ทานที่ทายกให้แล้วย่อมมีผลดังนี้เป็นต้น ชื่อว่าปัญญาเครื่องรู้ดีในบทว่า
สุพุทฺธิปุพฺพิกา นี้.
สัมมาทิฏฐิก์ผู้เดียวเท่านั้น เป็นผู้มีลัทธิชอบว่า "ทานที่ทายกให้
แล้วย่อมมีผล" เชื่อว่า "ธรรมดาว่าทานเป็นความดี พุทธาทิบัณฑิต
สรรเสริญ บัณฑิตบัญญัติไว้" ย่อมให้ทานด้วยตนบ้าง ชักชวน
ผู้อื่นในทานนั้นบ้าง. มิจฉาทิฏฐิก์หาเป็นเช่นนั้นไม่. จริงอย่างนั้น
เจ้าลัทธิ ชื่ออชิต ผู้มีลัทธิผิดว่า "ทานที่ทายกให้แล้วย่อมไม่มีผล"
กล่าวอย่างนี้ว่า "การบูชาทั้งหลาย มีเถ้าเป็นที่สุด, ทานอันคนเซอะ
บัญญัติไว้" ดังนี้.
อรรถกถา2สามัญญผลสูตร และอรรถกถาทิฏฐิสังยุต3 ในขันก-
วรรคว่า "บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภสนฺตา แปลว่า มีเถ้า
เป็นที่สุด. อีกอย่างหนึ่ง บาลีก็อย่างนี้เหมือนกัน. บทว่า หุติโย
ความว่า ทานที่ให้ ต่างกันโดยเป็นสักการะเพื่อแขกเป็นต้น ทุกอย่าง
มีเถ้าเป็นที่สุดทั้งนั้น. อธิบายว่า ทานนั้นหาให้ผลอื่นไปจากความเป็น
1. ป. โช. ขุ. ขุ. 154. 2. สุ. วิ. 1/207. 3. สา. ป. 2/411
เถ้านั้นไม่. บทว่า ทตฺตุปฺปญฺญตฺตํได้แก่ อันคนเซอะคือมนุษย์โง่ ๆ
บัญญัติไว้. มีคำที่เจ้าลัทธิอชิตกล่าวไว้ว่า "ทานนี้ พวกคนพาลคือคน
ไม่รู้บัญญัติไว้ หาใช่บัณฑิตบัญญัติไม่ คนโง่ให้ (ทาน) คนฉลาด
รับ (ทาน)."
ฏีกาสามัญผลสูตรว่า "ชนเหล่าใด เซอะคือหลง เหตุนั้น
ชนเหล่านั้น ชื่อว่า คนเซอะ คือบุคคลผู้หลง."
[ทานวัตถุ 10]
[5] บทว่า อนฺนาทิทสวตฺถุกา ความว่า มีไทยธรรมวัตถุ
(พัสดุคือสิ่งที่พึงให้) ที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า :-
ทานวัตถุ 10 เหล่านี้ คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน
ดอกไม้ ของหอม ของลูบไล้ ที่นอน ที่พัก
เครื่องประทีป.
อรรถกถา1อวุฏฐิกสูตรในตติยวรรค ติกนิบาตอิติวุตตกะว่า
"บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนฺนํ ได้แก่ ของเคี้ยง ของกิน ทุกอย่าง.
บทว่า ปานํ ได้แก่ น้ำดื่มมีน้ำมะม่วงเป็นต้น. บทว่า วตฺถํ ได้แก่
เครื่องปกปิดมีผ้านุ่งและผ้าห่มเป็นต้น. บทว่า ยานํ ได้แก่ สิ่งที่ช่วย
ให้ไปได้สำเร็จมีรถและคานหามเป็นต้น ที่สุดกระทั่งรองเท้า. บทว่า
มาลา2 ได้แก่ ดอกไม้ทั้งปวง ต่างโดยเป็นดอกไม้ที่ร้อยแล้ว และ
ที่มิได้ร้อย. บทว่า คนฺธํ ได้แก่ ของหอมทุกอย่างและเครื่องอุปกรณ์
1. ป. ที. 300. 2. ศัพท์นี้ในบาลีสมาสกับศัพท์ว่า คนฺธํ เป็น มาลาคนฺธํ.
ของหอมที่บดแล้วและที่มิได้บด. บทว่า วิเลปนํ ได้แก่เครื่องทำการ
ย้อมผิว. บทว่า เสยฺยา1 ได้แก่ สิ่งที่พึงใช้นอน มีเตียวและตั่ง
เป็นต้น และมีผ้าปาวารและผ้าโกเชาว์เป็นต้น. ก็ด้วยเสยยาศัพท์ ใน
บทว่า เสยฺยาวสถํนี้ พึงเห็นว่า ท่านถือไปถึงอาสนะด้วย. บทว่า
อาวสกํ ได้แก่ ที่อาศัยสำหรับบำบัดอันตรายมีลมและแดดเป็นต้น.
บทว่า ปทีเปยฺยํ ได้แก่ เครื่องอุปกรณ์แก่ประทีปมีเรือน (คือตัว)
ประทีปเป็นต้น."
[6] อรรถกถา2นาคสังยุตในขันธวรรคว่า "บทว่า อนฺนํ ได้แก่
ของเคี้ยวและของกิน. บทว่า ปานํ ได้แก่ ของลิ้มทุกอย่าง. บทว่า
วตฺถํ ได้แก่ ผ้านุ่งและผ้าห่ม. บทว่า ยานํ ได้แก่ ปัจจัยแห่งการ
ไปทุกอย่าง ตั้งแต่ร่มและรองเท้าเป็นต้นไป. บทว่า มาลํ ได้แก่
ดอกไม้ทุกอย่างมีระเบียบดอกมะลิเป็นต้น. บทว่า คนฺธํ ได้แก่ ของ
ลูบไล้ทุกอย่างมีจันทน์เป็นต้น. สองบทว่า เสยฺยาวสถํ ปทีเปยฺยํ
ได้แก่ ที่นอนมีเตียงตั่งเป็นต้น ที่พักมีเรือนชั้นเดียวเป็นต้น เครื่อง
อุปกรณ์แห่งประทีปมีไส้และน้ำมันเป็นต้น."
[7] ฎีกานาคสังยุตนั้นว่า "ชื่อว่า อันนะ เพราะเป็นของ
สำหรับกิน. ชื่อว่าขัชชะ เพราะเป็นของสำหรับเคี้ยว. ชื่อว่าปานะ
เพราะเป็นของสำหรับดื่ม. ชื่อว่าสายนะ เพราะเป็นของสำหรับลิ้ม
คือน้ำดื่มมีรสมะม่วงเป็นต้น. ชื่อว่านิวาสนะ เพราะเป็นของที่พึงนุ่ง.
ชื่อว่า ปารุปนะ เพราะเป็นของที่พึงห่ม. ชื่อว่ายานะ เพราะเป็นเครื่อง
1. ศัพท์นี้ในบาลีสมาสกับศัพท์ อาวสถํ เป็น เสยฺยาวสถํ. 2. สา.ป. 2/422.