เมนู

มังคลัตถทีปนี แปล
เล่ม 1
ปณามคาถา*
[1] พระพุทธเจ้าพระองค์พระองค์ใด อันโลกเลื่องลือว่า
"เป็นมงคล ของทวยเทพและมนุษย์ผู้มีความต้องการ
ด้วยมงคล" เป็นผู้แสดงอรรถแห่งมงคล, ข้าพเจ้า
ขอนอบน้อมพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้เป็นมงคล.
พระธรรมใด อันโลกเลื่องลือว่า "เป็นมงคล ของ
ทวยเทพและมนุษย์ผู้มีความต้องการด้วยมงคล" ส่อง
อรรถแห่งมงคล, ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระธรรมนั้น
อันเป็นมงคล. พระสงฆ์ใด อันโลกเลื่องลือว่า "เป็น
มงคล ของทวยเทพและมนุษย์ผู้มีความต้องการด้วย
นอบน้อมพระสงฆ์นั้น ผู้เป็นมงคล, ข้าพเจ้าขอ
ประฌาม (คือ ความนอบน้อม) ดีแล้ว แด่พระรัตน-
ตรัยอันเป็นมงคลอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้. ด้วย
อานุภาพแห่งประฌามนั้น ข้าพเจ้าเป็นผู้ยังอันตรายให้


* พระมหาทองคำ จนฺทูปโม ป. 7 (ภายหลังเป็น พระธรรมดิลก) วัดบรมนิวาส แปล

พินาศได้แล้ว, จักเลือกสรรถือเอาอรรถอันเป็นสาระ
ในคัมภีร์ต่าง ๆ นั้นแล้ว แสดงอรรถแห่งพระสูตร
ที่แสดงมงคล อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นมงคล ทรงแสดง
ไว้ดีแล้ว ปรากฏโดยนามว่า มงคลสูตร มีอาชญายิ่ง
นัก, และพระสูตรที่ใคร ๆ กล่าวไว้แล้ว เพื่อเป็นมงคล
แก่สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ซึ่งมีอาชญาแผ่ไปในแสน
โกฏิจักรวาล; ขอท่านทั้งหลายจงตั้งในฟังอรรถแห่ง
มงคลสูตรนั้น เทอญ.

กถาว่าด้วยเหตุเกิดขึ้น
[2] ดำเนินความว่า พระอาจารย์ผู้เมื่อจะสังวรรณนาอรรถ
แห่งพระสูตร กล่าวเหตุเกิดแห่งพระสูตร และการกำหนด [พระ
สูตร ] ก่อนแล้ว จึงสังวรรณนาอรรถ [ แห่งพระสูตรนั้น] ในภาย
หลัง, เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจะกล่าวเหตุเกิดแห่งพระสูตรเป็นต้น.
แท้จริง พระสูตรทั้งหมด มีเหตุเกิด 4 อย่าง คือ เกิดเพราะอัธยาศัย
ของตนเอง 1 เกิดเพราะอัธยาอาศัยของผู้อื่น 1 เกิดเพราะเกิดเรื่องขึ้น 1
เกิดเพราะอำนาจแห่งคำถาม 1 ในเหตุเกิด 4 อย่างนั้น สูตรทั้ง
หลายมีทวยตานุปัสสนาสูตรเป็นต้น เกิดเพราะอัธยาศัยของตนเอง,
เมตตสูตรเป็นต้น เกิดเพราะอัธยาศัยของผู้อื่น, อุรัคคสูตรเป็นต้น
เกิดเพราะเกิดเรื่องขึ้น, วัมมิกสูตรเป็นต้น เกิดเพราะอำนาจคำถาม.
ในเหตุเกิดเหล่านั้น เหตุเกิดเพราะอำนาจคำถาม ท่านประสงค์ใน
มงคลสูตรนี้. แม้มงคลสูตรก็เกิดขึ้นเพราะอำนาจคำทูลถามแท้.

[3] ในข้อนั้น มีคำกล่าวโดยลำดับ ดังต่อไปนี้ :-
ดังได้สดับมา มหาชนในชมพูทวีปประชุมกันในที่นั้น ๆ มีประตู-
เมืองศาลาว่า1ราชการและที่ประชุมเป็นต้น ถึงให้เงินและทองยังกันและ
กันให้เล่าเรื่องของพวกพาเหียร2มีประการต่าง ๆ มีเรื่องนำนางสีดา3มา
เป็นต้น. เรื่องหนึ่ง ๆ โดยล่วงไป 4 เดือนจึงจบ. วันหนึ่งเรื่องมงคล
เกิดขึ้นในที่ประชุมนั้นว่า "อะไรหนอ ? เป็นมงคล อารมณ์ที่ทราบ
แล้วหรือ ? เป็นมงคล ใครรู้จักมงคล ? "
[ทิฏฐมงคล]
ทีนั้น ชายผู้หนึ่งนามว่า ทิฏฐมังคลิกะ [ผู้ถือว่ารูปที่เห็นแล้ว
เป็นมงคล] เอ่ยขึ้นว่า "ข้าพเจ้ารู้จักมงคล, รูปที่เห็นแล้วเป็นมงคล
ในโลก; รูปที่สมมติว่าเป็นมงคลยิ่ง ชื่อว่ารูปที่เห็นแล้ว, คือ คน
บางคนในโลกนี้ ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ เห็นนกแอ่นลมบ้าง มะตูมอ่อนบ้าง
หญิงมีครรภ์บ้าง แม่โคบ้าง โคแดงบ้าง ; หรือเห็นรูปเช่นนั้นอย่างใด
อย่างหนึ่ง แม้อื่น ซึ่งสมมติว่าเป็นมงคลยิ่ง, นี้ เรียกว่ารูปที่เห็นแล้ว
เป็นมงคล."

1. สุมังคลวิลาสินี 1/3-7 สณฺฐาคารนฺติ รชฺชํ อนุสาสนสาลา. 2. คนนอกพระพุทธศาสนา
มีพราหมณ์ เดียรถีย์ นิครนถ์เป็นต้น. 3. มีในรามายณะ คัมภีร์พวกบุราณะในศาสนาพวก
พราหมณ์.

[สุตมงคล]
ชายผู้หนึ่งนามว่า สุตมังคลิกะ [ผู้ถือว่าเสียงที่ได้ยินแล้วเป็น
มงคล] ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวว่า " ผู้เจริญ ชื่อว่าจักษุนี้ ย่อมเห็น
รูปสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง น่าชอบใจบ้าง ไม่น่า
ชอบใจบ้าง. ผิว่ารูปที่จักษุนั้นเป็นเห็นแล้วจะพึงเป็นมงคลไซร้, ก็จะพึง
เป็นมงคลไปแม้ทั้งหมด, เพราะฉะนั้น รูปที่เห็นแล้วจึงไม่เป็นมงคล;
เสียงที่ฟังแล้วต่างหากเป็นมงคล ; เสียงที่สมมติว่าเป็นมงคลยิ่ง ชื่อว่า
เสียงที่ฟังแล้ว, คือ คนบางคนในโลกนี้ ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ได้ยินว่า
"เจริญแล้ว" บ้าง ว่า "กำลังเจริญ" บ้าง ว่า "เต็มแล้ว" บ้าง ว่า
"ขาว" บ้าง ว่า "ใจดี" บ้าง ว่า "สิริ" บ้าง ว่า "สิริเจริญ" บ้าง ว่า
อย่างหนึ่ง ซึ่งสมมติว่าเป็นมงคลยิ่ง ; นี้ เรียกว่าเสียงที่ฟังแล้วเป็น
มงคล."
[มุตมงคล]
ชายผู้หนึ่งนามว่า มุตมังคลิกะ [ผู้ถืออารมณ์ที่ได้ทราบแล้ว
เป็นมงคล] ได้ฟังดังนั้น ก็กล่าวว่า "ผู้เจริญ ชื่อว่าโสตนั่น ย่อม
ได้ยินเสียงดีบ้าง ไม่ดีบ้าง น่าชอบใจบ้าง ไม่น่าชอบใจบ้าง, ผิว่า
เสียงที่โสตนั้นฟังแล้ว จะพึงเป็นมงคลไซร้, ก็พึงเป็นมงคลไป
แม้ทั้งหมด, เพราะฉะนั้น เสียงที่ฟังแล้วจึงไม่เป็นมงคล ; อารมณ์
ที่ทราบแล้วต่างหากเป็นมงคล ; กลิ่นรสโผฏฐัพพะที่สมมติว่าเป็น
มงคลยิ่ง ชื่อว่าอารมณ์ที่ทราบแล้ว, คือ คนบางคนในโลกนี้ ลุกขึ้น

แต่เช้าตรู่ ดมกลิ่นดอกไม้ มีกลิ่นดอกปทุมเป็นต้น หรือเคี้ยวไม้
ชำระฟันอันขาว หรือจับต้องปฐมพี จับต้องข้าวกล้าอันเขียวสด โคมัย
สด เต่า เกวียนบรรทุกงา ดอกไม้หรือผลไม้ หรือลูบไล้ด้วยดินสอพอง
โดยถูกต้อง (ตามวิธี) หรือนุ่งผ้าขาว หรือโพกผ้าโพกขาว ; หรือ
ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะเช่นนั้นอย่างใดอย่างหนึ่งแม้อื่น ซึ่ง
สมมติว่าเป็นมงคลยิ่ง. นี้ เรียกว่าอารมณ์ที่ทราบแล้วเป็นมงคล."
[เถียงเรื่องมงคลไม่ตกลงกัน]
ชายนั้น 3 นายนั้นไม่อาจยังกันและกันให้ยินยอม (ตามถ้อยคำ
ของตน) ได้. ฝ่ายบรรดามนุษย์นอกจาก 3 นายนั้น บางพวกเชื่อคำ
ของชายเหล่านั้น, บางพวกไม่เชื่อ, พวกที่ไม่เชื่อ ก็เถียงกับพวกที่
เชื่อเหล่านั้น. พวกที่เชื่อคำของนายทิฏฐมังคลิกะ ก็ถึงความปลงใจ
[เชื่อถือ] ว่า " รูปที่เห็นแล้วเท่านั้น เป็นมงคล ; " พวกที่เชื่อคำ
ของอีก 2 นาย ก็ลงสันนิษฐานว่า " เสียงที่ฟังแล้วนั่นแหละเป็น
มงคล, อารมณ์ที่ทราบแล้วนั่นแหละ เป็นมงคล." เรื่องมงคลนี้
ปรากฏไปทั่วชมพูทวีป ด้วยประการฉะนี้.
[การคิดมงคลกระจายไปจนถึงชั้นอกนิฏฐภพ]
[4] ครั้งนั้น พวกมนุษย์ในชมพูทวีปทั้งสิ้น พากันคิดมงคล
เป็นพวก ๆ ว่า "อะไรหนอ ? เป็นมงคล." แม้พวกเทวดาผู้รักษา
มนุษย์เหล่านั้น ฟังคำนั้นจากมนุษย์แล้ว ก็พากันคิดมงคลอย่างนั้น
เหมือนกัน. โดยอบายนั้นนั่นแล พวกภุมมเทวดา (เทวดาประจำ
ภูมิภาค) มิตรของพวกเทวดาผู้รักษามนุษย์ทั้งหลาย พวกอากาสัฏฐก-

เทวดา (เทวดาประจำอากาศ) มิตรของกุมมเทวดาเหล่านั้น พวก
เทวดาชั้นจาตุมมหาราชิก มิตรของอากาสัฏฐกเทวดาเหล่านั้น ฯลฯ
พวกอกนิฏฐเทวดา (พรหมชั้นอกนิฏฐ) มิตรของพวกสุทัสสีเทวดา
สรุปว่า พวกเทวดาและพรหม ฟังคำนั้นจากมิตรของตนนั้น ๆ แล้ว
ก็พากันคิดมงคลเป็นพวก ๆ การคิดมงคลเกิดขึ้นแล้วในที่ทุกสถาน จน
กระทั่งในหมื่นจักรวาล ด้วยประการฉะนี้.
[เทวดาทูลถามมงคลกะพระศาสดา]
ก็การคิดมงคลซึ่งเกิดขึ้นแล้วนั้น ยังไม่ได้ตัดสินเด็ดขาดว่า "นี้
เป็นมงคล" ได้ตั้งอยู่ตลอด 12 ปี. ครั้งนั้น เทวดาและมนุษย์ทั้งสิ้น
เว้นพวกอริยสาวกเสีย แตกกันเป็น 3 พวก ด้วยอำนาจทิฏฐมงคล
สุตมงคล และมุตมงคล. แม้บุคคลผู้หนึ่ง ซึ่งตกลงใจตามความ
เป็นจริงว่า "นี้เท่านั้น เป็นมงคล" มิได้มีเลย. ต่อมา พวกเทวดา
ชั้นสุทธาวาส รู้จิตของพวกมนุษย์ จึงเที่ยวบอกไปในถิ่นมนุษย์ว่า
"โดยล่วง 12 ปี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจักตรัสมงคล." ครั้นโดย
ล่วงไป 12 ปี พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ มาประชุมพร้อมกันแล้วเข้า
ไปเฝ้าท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทวดา ทูลว่า "ขอเดชะ พระองค์ผู้นิรทุกข์
ปัญหาปรารภถึงมงคลเกิดขึ้นแล้ว, พวกหนึ่งว่า " รูปที่เห็นแล้ว เป็น
มงคล," พวกหนึ่งว่า "เสียงที่ฟังแล้ว," พวกหนึ่งว่า "อารมณ์ที่ทราบ
แล้ว," ในปัญหานั้น ทั้งพวกข้าพเจ้า ทั้งพวกอื่นยังตกลงกันไม่ได้;
ขอประทานพระวโรกาส ขอพระองค์โปรดพยากรณ์แก่พวกข้าพเจ้าตาม
เป็นจริงเถิด."