เมนู

12. อัตตวรรค วรรณนา
1. เรื่องโพธิราชกุมาร* [ 127 ]
[ ข้อความเบื้องต้น ]
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในเภสกฬาวัน ทรงปรารภโพธิ-
ราชกุมาร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " อตฺตานญฺเจ " เป็นต้น.
[ โพธิราชกุมารสร้างปราสาทแล้วคิดฆ่านายช่าง ]
ดังได้สดับมา โพธิราชกุมารนั้น รับสั่งให้สร้างปราสาท ชื่อ
โกนนท1 มีรูปทางไม่เหมือนปราสาทอื่น ๆ บนพื้นแผ่นดิน ปานดั่งลอย
อยู่ในอากาศแล้ว ตรัสถามนายช่างว่า " ปราสาทที่มีรูปทรงอย่างนี้
เธอเคยสร้างในที่อื่นบ้างแล้วหรือ ?, หรือว่านี้เป็นศิลปะครั้งแรกของ
เธอทีเดียว. " เมื่อเขาทูลว่า " ข้าแต่สมมติเทพ นี้เป็นศิลปะ
ครั้งแรกทีเดียว. " ท้าวเธอทรงดำริว่า " ถ้านายช่างผู้นี้จักสร้าง
ปราสาทมีรูปทรงอย่างนี้แม้แก่คนอื่นไซร้, ปราสาทนี้ก็จักไม่น่าอัศ-
จรรย์; การที่เราฆ่านายช่างนี้เสีย หรือตัดมือและเท้าของเขา หรือควัก
นัยน์ตาทั้ง 2 เสีย ควร; เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจักสร้างปราสาทแก่
คนอื่นไม่ได้ " ท้าวเธอตรัสบอกความนั้น แก่มาณพน้อยบุตรของ
สัญชีวก ผู้เป็นสหายที่รักของตน.

* พระมหาอู ป.ธ. 7 วัดบวรนิเวศวิหาร แปล. 1. บัวแดง.

[ นายช่างทำนกครุฑขี่หนีภัย ]
มาณพน้อยนั้น คิดว่า " พระราชกุมารพระองค์นี้ จักผลาญ
นายช่างให้ฉิบหายอย่างไม่ต้องสงสัย, คนผู้มีศิลปะเป็นผู้หาค่ามิได้,
เมื่อเรายังมีอยู่ เขาจงอย่าฉิบหาย, เราจักให้สัญญาแก่เขา. " มาณพ
น้อยนั้นเข้าไปหาเขาแล้ว ถามว่า " การงานของท่านที่ปราสาทสำเร็จ
แล้วหรือยัง ? " เมื่อเขาบอกว่า " สำเร็จแล้ว, " จึงกล่าวว่า " พระ
ราชกุมารมีพระประสงค์จะผลาญท่านให้ฉิบหาย, เพราะฉะนั้น ท่านพึง
รักษาตน ( ให้ดี ). "
นายช่างพูดว่า " นาย ท่านบอก ( ความนั้น ) แก่ข้าพเจ้าทำ
กรรมอันงามแล้ว, ข้าพเจ้าจักทราบกิจที่ควรทำในเรื่องนี้ " ดังนี้แล้ว
อันพระราชกุมารตรัสถามว่า " สหาย การงานของท่านที่ปราสาท
ของเราสำเร็จแล้วหรือ ? " จึงทูลว่า " ข้าแต่สมมติเทพ การงาน
( ที่ปราสาท ) ยังไม่สำเร็จก่อน, ยังเหลืออีกมาก. "
ราชกุมาร. ชื่อว่าการงานอะไร ? ยังเหลือ.
นายช่าง. ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์จักทูล ( ให้ทรงทราบ )
ภายหลัง, ขอพระองค์จงตรัสสั่งให้ใคร ๆ ขนไม้มาก่อนเถิด.
ราชกุมาร. จะให้ขนไม้ชนิดไหนเล่า ?
นายช่าง. ไม้แห้งหาแก่นมิได้ พระเจ้าข้า.
ท่าวเธอ ได้รับสั่งให้ขนมาให้แล้ว. ลำดับนั้น นายช่างทูลพระ
ราชกุมารนั้นว่า " ข้าแต่สมมติเทพ จำเดิมแต่นี้ พระองค์ไม่พึงเสด็จ
มายังสำนักของข้าพระองค์ เพราะเมื่อข้าพระองค์ ทำการงานที่

ละเอียดอยู่ เมื่อมีการสนทนากับคนอื่น ความฟุ้งซ่านก็จะมี, อนึ่ง
เวลารับประทานอาหาร ภรรยาของข้าพระองค์เท่านั้น จักนำอาหาร
มา. " พระราชกุมารทรงรับว่า " ดีแล้ว. " ฝ่ายนายช่างนั่งถากไม้
เหล่านั้นอยู่ในห้อง ๆ หนึ่ง ทำเป็นนกครุฑ ควรที่บุตรภรรยาของ
ตนนั่งภายในได้ ในเวลารับประทานอาหาร สั่งภรรยาว่า " หล่อนจง
ขายของทุกสิ่งอันมีอยู่ในเรือนแล้ว รับเอาเงินและทองไว้.
[ นายช่างพาครอบครัวหนี ]
ฝ่ายพระราชกุมาร รับสั่งให้ล้อมเรือนไว้ ทรงจัดตั้งการรักษา
เพื่อประโยชน์จะไม่ให้นายช่างออกไปได้. แม้นายช่าง ในเวลาที่นก
สำเร็จแล้ว สั่งภรรยาว่า " วันนี้ หล่อนพึงพาเด็ก แม้ทั้งหมดมา
รับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ให้บุตรและภรรยานั่งในท้องนก
ออกทางหน้าต่างหลบหนีไปแล้ว. นายช่างนั้น เมื่อพวกอารักขา
เหล่านั้น ทูลพิไรร่ำว่า " ขอเดชะสมมติเทพ นายช่างหลบหนีไป
ได้ " ดังนี้อยู่นั่นแหละ ก็ไปลงที่หิมวันตประเทศ สร้างนครขึ้นนคร
หนึ่ง ได้เป็นพระราชา ทรงพระนามว่า กัฏฐาหนะ1 ในนครนั้น.
[ พระศาสดาไม่ทรงเหยียบผ้าที่ลาดไว้ ]
ฝ่ายพระราชกุมาร ทรงดำริว่า " เราจักทำการฉลองปราสาท "
จึงนิมนต์พระศาสดา ทรงทำการประพรมในปราสาทด้วยของหอมที่
ผสมกัน 4 อย่าง ทรงลาดแผ่นผ้าน้อย ตั้งแต่ธรณีแรก. ได้ยิน

1. ผู้มีท่อนไม้เป็นพาหนะ หรือผู้มีพาหนะอันทำด้วยท่อนไม้.

ว่า ท้าวเธอไม่มีพระโอรส. เพราะฉะนั้น จึงทรงดำริว่า " ถ้าเราจัก
ได้บุตรหรือธิดาไซร้, พระศาสดาจักทรงเหยียบแผ่นผ้าน้อยนี้แล้วจึง
ทรงลาด. ท้าวเธอ เมื่อพระศาสดาเสด็จมา ถวายบังคมพระศาสดา
ด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้ว รับบาตร กราบทูลว่า " ขอเชิญพระองค์
เสด็จเข้าไปเถิด พระเจ้าข้า. " พระศาสดาไม่เสด็จเข้าไป. ท้าวเธอ
ทรงอ้อนวอนถึง 2-3 ครั้ง. พระศาสดาก็ยังไม่เสด็จเข้าไปทรงแล
ดูพระอานนทเถระ.
พระเถระทราบความที่ไม่ทรงเหยียบผ้าทั้งหลาย ด้วยสัญญาที่พระ
องค์ทรงแลดูนั่นเอง จึงทูลให้พระราชกุมารเก็บผ้าทั้งหลายเสียด้วยคำ
ว่า " พระราชกุมาร ขอพระองค์จงทรงเก็บผ้าทั้งหลายเสียเถิด, พระผู้
มีพระภาคจักไม่ทรงเหยียบแผ่นผ้า, ( เพราะ ) พระตถาคตทรงเล็งดู
หมู่ชนผู้เกิดภายหลัง. "
[ พระศาสดาตรัสเหตุที่ไม่ทรงเหยียบผ้า ]
ท้าวเธอทรงเก็บผ้าทั้งหลายแล้ว ทูลอาราธนาพระศาสดาให้เสด็จ
เข้าไปภายใน ทรงอังคาสให้อิ่มหนำด้วยยาคูและของเคี้ยวแล้วประทับนั่ง
อยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง ถวายบังคมแล้ว ทูลว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
หม่อมฉันเป็นอุปัฏฐากของพระองค์ ถึง ( พระองค์ ) ว่าเป็นที่พึ่ง 3 ครั้ง
แล้ว ( คือ ) นัยว่า ข้าพระองค์อยู่ในท้อง ถึง ( พระองค์ ) ว่าเป็นที่
พึ่งครั้งที่ 1 แม้ครั้งที่ 2 ในเวลาที่หม่อมฉันเป็นเด็กรุ่นหนุ่ม, แม้ครั้ง

ที่ 3 ในกาลที่หม่อมฉัน ถึงความเป็นผู้รู้ดีรู้ชั่ว; พระองค์ไม่ทรงเหยียบ
แผ่นผ้าน้อยของหม่อมฉันนั้น เพราะเหตุอะไร ? "
พระศาสดา. ราชกุมาร ก็พระองค์ทรงดำริอย่างไร ? จึงทรงลาดแผ่น
ผ้าน้อย.
ราชกุมาร. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันคิดดังนี้ว่า " ถ้า
เราจักได้บุตรหรือธิดาไซร้, พระศาสดาจักทรงเหยียบแผ่นผ้าน้อยของเรา,
แล้วจึงลาดแผ่นผ้าน้อย.
พระศาสดา. ราชกุการ เพราะเหตุนั้น อาตมภาพจึงไม่เหยียบ.
ราชกุมาร. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็หม่อมฉันจักไม่ได้บุตร
หรือธิดาเลยเทียวหรือ ?
พระศาสดา. อย่างนั้น ราชกุมาร.
ราชกุมาร. เพราะเหตุไร ? พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. เพราะความที่พระองค์กับพระชายา เป็นผู้ถึงความ
ประมาทแล้วในอัตภาพก่อน.
ราชกุมาร. ในกาลไหน ? พระเจ้าข้า.
[ บุรพกรรมของโพธิราชกุมาร ]
ลำดับนั้น พระศาสดาทรงนำอดีตนิทาน มาแสดงแด่พระราช-
กุมารนั้น :-
ดังได้สดับมา ในอดีตกาล มนุษย์หลายร้อยคน แล่นเรือลำใหญ่
ไปสู่สมุทร. เรืออัปปางในกลางสมุทร สองภรรยาสามี คว้าได้แผ่น

กระดานแผ่นหนึ่ง ( อาศัย ) ว่ายเข้าไปสู่เกาะน้อยอันมีในระหว่าง.
มนุษย์ที่เหลือทั้งหมดตายในสมุทรนั้นนั่นแล. ก็หมู่นกเป็นอันมากอยู่ที่
เกาะนั้นแล เขาทั้ง 2 ไม่เห็นสิ่งอื่นที่ควรกินได้ ถูกความหิวครอบงำ
แล้ว จังเผาฟองนกทั้งหลาย ที่ถ่านเพลิงแล้วเคี้ยวกิน, เมื่อฟองนก
เหล่านั้น ไม่เพียงพอ, ก็จับลูกนกทั้งหลายปิ้งกิน, เมื่อลูกนกเหล่านั้น
ไม่เพียงพอ, ก็จับนกทั้งหลาย ( ปิ้ง ) กิน, ในปฐมวัยก็ดี มัชฌิมวัยก็ดี
ปัจฉิมวัยก็ดี ก็ได้เคี้ยวกินอย่างนี้แหละ, แม้ในวัยหนึ่ง ก็มิได้ถึงความ
ไม่ประมาท. อนึ่ง บรรดาชน 2 คนนั้น แม้คนหนึ่งไม่ได้ถึงความ
ไม่ประมาท.
[ พึงรักษาตนไว้ให้ดีในวัยทั้ง 3 ]
พระศาสดา ครั้งทรงแสดงบุรพกรรมนี้ ของโพธิราชกุมารนั้น
แล้ว ตรัสว่า " ราชกุมาร ก็ในกาลนั้น ถ้าพระองค์กับภรรยา จักถึง
ความไม่ประมาท แม้ในวัย 1 ไซร้, บุตรหรือธิดา พึงเกิดขึ้นแม้ใน
วัย 1; ก็ถ้าบรรดาท่านทั้ง 2 แม้คนหนึ่ง จักได้เป็นผู้ไม่ประมาท
แล้วไซร้. บุตรหรือธิดา จักอาศัยผู้ไม่ประมาทนั้นเกิดขึ้น, ราชกุมาร
ก็บุคคลเมื่อสำคัญตนว่า เป็นที่รักอยู่ พึงไม่ประมาท รักษาตนแม้ใน
วันทั้ง 3: เมื่อไม่อาจ ( รักษา ) ได้อย่างนั้น พึงรักษาให้ได้แม้ใน
วัย 1 " ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
" ถ้าบุคคลทราบตนว่า เป็นที่รัก พึงรักษาตนนั้น
ให้เป็นอันรักษาด้วยดี, บัณฑิตพึงประคับประคอง
( ตน ) ตลอดยามทั้ง 3 ยามใดยามหนึ่ง. "