เมนู

9. ปาปวรรค วรรณนา
1. เรื่องพราหมณ์ชื่อจูเฬกสาฎก* [ 95 ]
[ ข้อความเบื้องต้น ]
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพราหมณ์
ชื่อจูเฬกสาฎก ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " อภิตฺถเรถ กลฺยาเณ "
เป็นต้น.
[ พราหมณ์และพราหมณีผลัดกันไปฟังธรรม ]
ความพิสดารว่า ในกาลแห่งพระวิปัสสีทศพล ได้มีพราหมณ์
คนหนึ่งชื่อมหาเอกสาฎก. แต่ในกาลนี้ พราหมณ์นี้ได้เป็นพราหมณ์
ชื่อจูเฬกสาฎกในเมืองสาวัตถี. ก็ผ้าสาฎกสำหรับนุ่งของพราหมณ์นั้น
ได้มีผืน 1, แม้ของพราหมณีก็ได้มีผืน 1, ทั้ง 2 คนมีผ้าห่มผืนเดียว
เท่านั้น. ในเวลาไปภายนอก พราหมณ์หรือพราหมณีย่อมห่มผ้าผืนนั้น.
ภายหลังวันหนึ่ง เมื่อเขาประกาศการฟังธรรมในวิหาร พราหมณ์
กล่าวว่า " นาง เขาประกาศการฟังธรรม, เจ้าจักไปสู่สถานที่ฟังธรรมใน
กลางวันหรือกลางคืน ? เพราะเราทั้ง 2 ไม่อาจไปพร้อมกันได้ เพราะ
ไม่มีผ้าห่ม." พราหมณีตอบว่า " นาย ฉันจักไปในกลางวัน " แล้วได้
ห่มผ้าสาฎกไป.

* พระมหากำหยัด ป. ธ. 5 วัดบวรนิเวศวิหาร แปล.

[ พราหมณ์คิดบูชาธรรมด้วยผ้าสาฎกที่ห่มอยู่ ]
พราหมณ์ยับยั้งอยู่ในเรือนตลอดวัน ต่อกลางคืนจึงได้ไปนั่ง
ฟังธรรมทางด้านพระพักตร์พระศาสดา. ครั้งนั้น ปีติ1 5 อย่างซาบ-
ซ่านไปทั่วสรีระของพราหมณ์นั้นเกิดขึ้นแล้ว. เขาเป็นผู้ใคร่จะบูชา
พระศาสดา คิดว่า " ถ้าเราจะถวายผ้าสาฎกนี้ไซร้, ผ้าห่มของนาง
พราหมณีจักไม่มี ของเราก็จักไม่มี. " ขณะนั้นจิตประกอบด้วยความ
ตระหนี่พันดวงเกิดขึ้นแล้วแก่เขา, จิตประกอบด้วยสัทธาดวงหนึ่งเกิด
ขึ้นอีก, จิตประกอบด้วยความตระหนี่พันดวงเกิดขึ้นครอบงำสัทธาจิต
แม้นั้นอีก. ความตระหนี่อันมีกำลังของเขาคอยกีดกันสัทธาจิตไว้ ดุจ
จับมัดไว้อยู่เทียว ด้วยประการฉะนี้.
[ ชนะมัจเฉรจิตด้วยสัทธาจิต ]
เมื่อเขากำลังคิดว่า " จักถวาย จักไม่ถวาย " ดังนี้นั่นแหละ
ปฐมยามล่วงไปแล้ว. แต่ครั้นมัชฌิมยาม เขาไม่อาจถวายใน
มัชฌิมยามแม้นั้นได้. เมื่อถึงปัจฉิมยาม เขาคิดว่า " เมื่อเรารบกับ
สัทธาจิตและมัจเฉรจิตอยู่นั่นแล 2 ยามล่วงไปแล้ว, มัจเฉรจิตนี้ของ
เรามีประมาณเท่านี้ เจริญอยู่ จักไม่ให้ยกศีรษะขึ้นจากอบาย 4, เรา
จักถวายผ้าสาฎกละ." เขาข่มความตระหนี่ตั้งพันดวงได้แล้วทำสัทธา-
จิตให้เป็นปุเรจาริก ถือผ้าสาฎกไปวางแบบาทมูลของพระศาสดา ได้เปล่ง
เสียงดังขึ้น 3 ครั้งว่า " ข้าพเจ้าชนะแล้ว ข้าพเจ้าชนะแล้วเป็นต้น."

1. ปีติ 5 คือ ขุททกาปีติ ปีติอย่างน้อย 1 ขณิกาปีติ ปีติชั่วขณะ 1 โอกกันติกาปีติ
ปีติเป็นพัก ๆ 1 อุเพงคาปีติ ปีติอย่างโลดโผน 1 ผรณาปีติ ปีติซาบซ่าน 1.

[ ทานของพราหมณ์ให้ผลทันตาเห็น ]
พระเจ้าปเสนทิโกศล กำลังทรงฟังธรรม ได้สดับเสียงนั้นแล้ว
ตรัสว่า " พวกท่านจงถามพราหมณ์นั้นดู, ได้ยินว่าเขาชนะอะไร ? "
พราหมณ์นั้นถูกพวกราชบุรุษถาม ได้แจ้งความนั้น. พระราชา
ได้สดับความนั้นแล้ว ทรงดำริว่า " พราหมณ์ทำสิ่งที่บุคคลทำได้ยาก.
เราจักทำการสงเคราะห์เขา " จึงรับสั่งให้พระราชทานผ้าสาฎกคู่ 1.
เขาได้ถวายผ้าแม้นั้นแด่พระตถาคตเหมือนกัน พระราชาจึง
รับสั่งให้พระราชาทานทำให้เป็นทวีคูณอีก คือ 2 คู่ 4 คู่ 8 คู่ 16 คู่.
เขาได้ถวายผ้าแม้เหล่านั้นแด่พระตถาคตนั่นเทียว. ต่อมา พระราชา
รับสั่งให้พระราชาทานผ้าสาฎก 32 คู่แก่เขา.
พราหมณ์ เพื่อจะป้องกันวาทะว่า " พราหมณ์ไม่ถือเอาเพื่อตนสละ
ผ้าที่ได้แล้ว ๆ เสียสิ้น " จึงถือเอาผ้าสาฎก 2 คู่จากผ้า 32 คู่นั้นคือ
" เพื่อตนคู่ 1 เพื่อนางพราหมณีคู่ 1 " ได้ถวายผ้าสาฎก 30 คู่แด่พระ
ตถาคตทีเดียว. ฝ่ายพระราชา เมื่อพราหมณ์นั้นถวายถึง 7 ครั้ง ได้มี
พระราชประสงค์จะพระราชทานอีก. พราหมณ์ชื่อมหาเอกสาฎก ในกาล
ก่อน ได้ถือเอาผ้าสาฎก 2 คู่ในจำนวนผ้าสาฎก 64 คู่. ส่วน
พราหมณ์ชื่อจูเฬกสาฎกนี้ ได้ถือเอาผ้าสาฎก 2 คู่ ในเวลาที่ตนได้ผ้า
สาฎก 32 คู่.
พระราชา ทรงบังคับพวกราชบุรุษว่า " พนาย พราหมณ์ทำสิ่ง
ที่ทำได้ยาก, ท่านทั้งหลายพึงให้นำเอาผ้ากัมพล 2 ผืนภายในวังของ
เรามา." พวกราชบุรุษได้กระทำอย่างนั้น. พระราชารับสั่งให้พระ

ราชทานผ้ากัมพล 2 ผืนมีค่าแสนหนึ่งแก่เขา. พราหมณ์คิดว่า " ผ้า
กัมพลเหล่านี้ไม่สมควรแตะต้องที่สรีระของเรา, ผ้าเหล่านั้นสมควรแก่
พระพุทธศาสนาเท่านั้น " จึงได้ขึงผ้ากัมพลผืนหนึ่งทำให้เป็นเพดานไว้
เบื้องบนที่บรรทมของพระศาสดาภายในพระคันธกุฎี, ขึงผ้าผืนหนึ่งทำให้
เป็นเพดานในที่ทำภัตกิจของภิกษุผู้ฉันเป็นนิตย์ในเรือนของตน. ใน
เวลาเย็น พระราชาเสด็จสู่สำนักของพระศาสดา ทรงจำผ้ากัมพลได้
แล้ว ทูลถามว่า " ใครทำการบูชา พระเจ้าข้า ? " เมื่อพระศาสดา
ตรัสตอบว่า " พราหมณ์ชื่อเอกสาฎก " ดังนี้แล้ว ทรงดำริว่า
" พราหมณ์เลื่อมใสในฐานะที่เราเลื่อมใสเหมือนกัน " รับสั่งให้พระ
ราชทานหมวด 4 แห่งวัตถุทุกอย่าง จนถึงร้อยแห่งวัตถุทั้งหมด ทำ
ให้เป็นอย่างละ 4 แก่พราหมณ์นั้น อย่างนี้ คือช้าง 4 ม้า 4 กหาปนะ1
สี่พัน สตรี 4 ทาสี 4 บุรุษ 4 บ้านส่วย 4 ตำบล.
[ รีบทำกุศลมีผลดีกว่าทำช้า ]
ภิกษุทั้งหลาย สนทนากันในโรงธรรมว่า " แม้! กรรมของ
พราหมณ์ชื่อจูเฬกสาฎก น่าอัศจรรย์, ชั่วครู่เดียวเท่านั้น เขาได้หมวด
4 แห่งวัตถุทุกอย่าง. กรรมงามอันเขาทำในที่อันเป็นเนื้อนาในบัดนี้
นั่นแล ให้ผลในวันนี้ทีเดียว."
พระศาสดา เสด็จมาตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอ
ทั้งหลายนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรเล่า ? " เมื่อพวกภิกษุกราบทูลว่า
" ด้วยกถาชื่อนี้ พระเจ้าข้า " ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเอกสาฎกนี้

1. เป็นชื่อเงินตราชนิดหนึ่ง ซึ่งในอินเดียโบราณ มีค่าเท่ากับ 4 บาท.

จักได้อาจเพื่อถวายแก่เราในปฐมยามไซร้, เขาจักได้สรรพวัตถุอย่าง
ละ 16, ถ้าจักได้อาจถวายในมัชฌิมยามไซร้. เขาจักได้สรรพวัตถุ
อย่างละ 8, แต่เพราะถวายในเวลาจวนใกล้รุ่ง เขาจึงได้สรรพวัตถุ
อย่างละ 4; แท้จริง กรรมงามอันบุคคลผู้เมื่อกระทำ ไม่ให้จิตที่
เกิดขึ้นเสื่อมเสีย ควรทำในที่นั้นเอง, ด้วยว่า กุศลที่บุคคลทำช้า
เมื่อให้สมบัติ ย่อมให้ช้าเหมือนกัน; เพราะฉะนั้น พึงทำกรรมงาม
ในลำดับแห่งจิตตุปบาททีเดียว " เมื่อทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม
จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
"บุคคลพึงรีบขวนขวายในความดี, พึงห้าม
จิตเสียจากความชั่ว, เพราะว่า เมื่อบุคคลทำ
ความดีช้าอยู่, ใจจะยินดีในความชั่ว."

[ แก้อรรถ ]
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิตฺถเรถ ความว่า พึงทำด่วน ๆ
คือเร็ว ๆ. จริงอยู่ คฤหัสถ์เมื่อจิตเกิดขึ้นว่า " เราจักทำกุศลบางอย่าง
ในกุศลทานทั้งหลายมีถวายสลากภัตเป็นต้น " ควรทำไว ๆ ทีเดียว
ด้วยคิดว่า " เราจะทำก่อน เราจะทำก่อน " โดยประการที่ชน
เหล่าอื่นจะไม่ได้โอกาสฉะนั้น. หรือบรรพชิต เมื่อทำวัตรทั้งหลายมี
อุปัชฌายวัตรเป็นต้น ไม่ให้โอกาสแก่ผู้อื่น ควรทำเร็ว ๆ ทีเดียว
ด้วยคิดว่า " เราจะทำก่อน เราจะทำก่อน."
สองบทว่า ปาปา จิตฺตํ ความว่า ก็บุคคลพึงห้ามจิตจากบาป-
กรรมมีกายทุจริตเป็นต้น หรือจากอกุศลจิตตุปบาท ในที่ทุกสถาน.

สองบทว่า ทนฺธํ หิ กรโต ความว่า ก็ผู้ใดคิดอยู่อย่างนี้ว่า
" เราจักให้, จักทำ, ผลนี้จักสำเร็จแก่เราหรือไม่ " ชื่อว่าทำบุญช้าอยู่
เหมือนบุคคลเดินทางลื่น, ความชั่วของผู้นั้นย่อมได้โอกาส เหมือน
มัจเฉรจิตพันดวงของพราหมณ์ชื่อเอกสาฎกฉะนั้น. เมื่อเช่นนั้นใจของ
เขาย่อมยินดีในความชั่ว, เพราะว่าในเวลาที่ทำกุศลกรรมเท่านั้นจิตย่อม
ยินดีในกุศลกรรม, พ้นจากนั้นแล้ว ย่อมน้อมไปสู่ความชั่วได้แท้.
ในกาลจบคาถา ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุอริยผลทั้งหลาย มี
โสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องพราหมณ์ชื่อจูเฬกสาฎก จบ.