เมนู

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] 16.อาสวสัมปยุตตทุกะ 7.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
โดยปุเรชาตปัจจัย มี 2 อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ
เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ราคะจึงเกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัส
จึงเกิดขึ้น
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะโดย
ปุเรชาตปัจจัย (2)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
และที่วิปปยุตจากอาสวะโดยปุเรชาตปัจจัย มี 2 อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะ
และวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ เพราะปรารภจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ขันธ์ และ
โมหะที่สหรคตด้วยโทมนัสที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะจึงเกิดขึ้น
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วย
โทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะโดยปุเรชาตปัจจัย (3)

ปัจฉาชาตปัจจัย
[90] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
อาสวะโดยปัจฉาชาตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุต
ด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยปัจฉาชาตปัจจัย (1)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะโดย
ปัจฉาชาตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์และโมหะที่วิปปยุต
จากอาสวะเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยปัจฉาชาตปัจจัย (1)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่วิปปยุตจากอาสวะโดยปัจฉาชาตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปัจฉาชาตะ ได้แก่
ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ
เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยปัจฉาชาตปัจจัย (1)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 42 หน้า :253 }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] 16.อาสวสัมปยุตตทุกะ 7.ปัญหาวาร
อาเสวนปัจจัย
[91] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อาสวะโดยอาเสวนปัจจัย มี 9 วาระ (อาวัชชนจิตและวุฏฐานะไม่มี)

กัมมปัจจัย
[92] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อาสวะโดยกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
โดยกัมมปัจจัย (1)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะ
โดยกัมมปัจจัย มี 2 อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป
โดยกัมมปัจจัย เจตนาที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคต
ด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่โมหะและจิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็น
วิบากและกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย (2)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและ
ที่วิปปยุตจากอาสวะโดยกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัย
แก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย เจตนาที่สหรคตด้วยโทมนัส
ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ โมหะ
และจิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย (3)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะโดย
กัมมปัจจัย มี 2 อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และ
จิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบาก
และกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย (1)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 42 หน้า :254 }