เมนู

ที่มาของข้อมูล : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับ มจร.
MCUTRAI Version 1.0

พระไตรปิฎกเล่มที่ 33 สุตตันตปิฎกที่ 25 ขุททกนิกาย
อปทาน ภาค 2 พุทธวงศ์ จริยาปิฎก

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [42. ภัททาลิวรรค] 1. ภัททาลิเถราปทาน

พระสุตตันตปิฎก
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค 2
_____________
ขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

42. ภัททาลิวรรค
หมวดว่าด้วยพระภัททาลิเป็นต้น
1. ภัททาลิเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระภัททาลิเถระ

(พระภัททาลิเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[1] พระพุทธเจ้าพระนามว่าสุเมธะ ผู้เลิศ
ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระกรุณา ทรงเป็นผู้เลิศในโลก
ทรงเป็นมุนี เมื่อประสงค์วิเวก1
จึงได้เสด็จไปยังภูเขาหิมพานต์
[2] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสุเมธะ
ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก ทรงองอาจกว่าบุรุษ
ครั้นเสด็จไปยังภูเขาหิมพานต์แล้ว ได้ประทับนั่งขัดสมาธิ
[3] พระพุทธเจ้าพระนามว่าสุเมธะ
ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก

เชิงอรรถ :
1 วิเวก ในที่นี้หมายถึงกายวิเวก(ความสงัดกาย)และจิตตวิเวก(ความสงัดจิต) (ขุ.อป.อ. 2/43/193)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 33 หน้า :1 }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [42. ภัททาลิวรรค] 1. ภัททาลิเถราปทาน
ผู้เป็นบุรุษสูงสุด1 พระองค์นั้น
ประทับนั่งเข้าสมาบัติตลอด 7 วัน 7 คืน
[4] ข้าพเจ้าคอนหาบเข้าไปถึงกลางป่า
ณ ที่นั้นได้เห็นพระพุทธเจ้า
ผู้ข้ามโอฆะ2 ได้แล้ว ไม่มีอาสวะ
[5] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้หยิบไม้กวาดมากวาดอาศรม
ปักไม้เป็น 4 เส้า ทำเป็นมณฑป
[6] ข้าพเจ้าเก็บดอกสาละมามุงเป็นหลังคามณฑป
เป็นผู้มีจิตเลื่อมใส มีใจยินดี
ได้ไหว้พระผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลกแล้ว
[7] พระพุทธเจ้าพระนามว่าสุเมธะ
ที่ชนทั้งหลายสรรเสริญกันว่า
มีพระปัญญาดังแผ่นดิน มีพระปัญญาดี
ประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ กำลังจะตรัสพระคาถาเหล่านี้
[8] เทวดาทั้งปวงทราบว่า พระพุทธเจ้าจะทรงเปล่งวาจา
จึงพากันมาประชุมด้วยคิดว่า พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด
ผู้มีพระจักษุ จะทรงแสดงธรรมโดยแน่แท้
[9] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสุเมธะ
ผู้สมควรรับเครื่องบูชา ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่เทวดา
ได้ตรัสพระคาถาดังต่อไปนี้ว่า
[10] เราจักพยากรณ์ผู้ตั้งมณฑป
มีดอกสาละเป็นเครื่องมุงสำหรับเราตลอด 7 วัน
ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าวเถิด

เชิงอรรถ :
1 ผู้เป็นบุรุษสูงสุด หมายถึงผู้สูงกว่ามนุษย์ด้วยคุณธรรม (ขุ.อป.อ. 2/129/35)
2 โอฆะ หมายถึงกิเลสท่วมทับใจสัตว์มี 4 คือ (1) กาโมฆะ โอฆะคือกาม (2) ภโวฆะ โอฆะคือภพ
(3) ทิฏโฐฆะ โอฆะคือทิฏฐิ (4) อวิชโชฆะ โอฆะคืออวิชชา (ขุ.เถร.อ. 1/15/100, ที.ปา. (แปล)
11/312/292)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 33 หน้า :2 }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [42. ภัททาลิวรรค] 1. ภัททาลิเถราปทาน
[11] ผู้นี้จักเกิดเป็นเทวดาหรือมนุษย์ก็ตาม
จักเป็นผู้มีผิวพรรณเหมือนทองคำ
จักเสวยกามสุข มีโภคะล้นเหลือ
[12] ช้างมาตังคะ 60,000 เชือก
ประดับด้วยเครื่องอลังการทุกอย่าง
รัดประโคนพานหน้าและพานหลังที่ทำด้วยทอง
ประกอบด้วยเครื่องประดับศีรษะและข่ายทอง
[13] มีนายควาญช้างผู้ถือหอกซัดและขอขึ้นขี่บังคับประจำ
จักมาสู่ที่บำรุงของผู้นี้ ทั้งเวลาเช้าและเวลาเย็น
ผู้นี้จักเป็นผู้ที่ช้างเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว รื่นรมย์อยู่
[14] ม้าสินธพชาติอาชาไนย 60,000 ตัว
ประดับด้วยเครื่องอลังการทุกอย่าง เป็นพาหนะที่มีฝีเท้าเร็ว
[15] มีทหารม้าผู้เหน็บมีดสั้น ถือธนูขึ้นขี่บังคับประจำ
จักแวดล้อมผู้นี้อยู่เป็นนิตย์
นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า
[16] รถ 60,000 คัน ประดับด้วยเครื่องอลังการทุกอย่าง
หุ้มหนังเสือเหลืองบ้าง หนังเสือโคร่งบ้าง มีธงปักหน้ารถ
[17] มีพลขับถือธนูสวมเกราะประจำรถ
จักแวดล้อมผู้นี้อยู่เป็นนิตย์
นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า
[18] หมู่บ้าน 60,000 หมู่ บริบูรณ์ด้วยเครื่องใช้ทุกอย่าง
มีทรัพย์และข้าวเปลือกล้นเหลือ บริบูรณ์ดีทุกประการ
จักปรากฏอยู่ทุกเมื่อ
นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า
[19] กองทัพ 4 เหล่า คือ พลช้าง พลม้า พลรถ
และพลเดินเท้า จักแวดล้อมผู้นี้อยู่เป็นนิตย์
นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 33 หน้า :3 }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [42. ภัททาลิวรรค] 1. ภัททาลิเถราปทาน
[20] ผู้นี้จักรื่นรมย์ในเทวโลกตลอด 118 กัป
จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ 1,000 ชาติ
[21] และจักครองเทวสมบัติตลอด 300 ชาติ
จักเป็นเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์นับชาติไม่ถ้วน
[22] ในกัปที่ 30,000 (นับจากกัปนี้ไป)
พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก
[23] ผู้นี้จักเป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น
เป็นโอรสที่ธรรมเนรมิต
กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว จักอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
[24] ในกัปที่ 30,000 (นับจากกัปนี้ไป)
ข้าพเจ้าได้เห็นพระศาสดา ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
และได้แสวงหาอมตบท1 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
[25] การที่ข้าพเจ้ารู้ศาสนธรรมนี้
เป็นลาภที่ข้าพเจ้าได้ดีแล้ว
วิชชา 3 ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[26] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นบุรุษอาชาไนย
ข้าพระองค์ขอนอบน้อมพระองค์
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นบุรุษผู้สูงสุด
ข้าพระองค์ขอนอบน้อมพระองค์
ข้าพระองค์ได้บรรลุอมตบทแล้ว
เพราะกล่าวสดุดีพระพุทธญาณ

เชิงอรรถ :
1 อมตบท หมายถึงพระนิพพาน (ขุ.อป.อ. 1/267/276, ขุ.อป.อ. 2/67/102)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 33 หน้า :4 }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [42. ภัททาลิวรรค] 1. ภัททาลิเถราปทาน
[27] ข้าพเจ้าเกิดในกำเนิดใด ๆ
คือจะเกิดเป็นเทวดาหรือมนุษย์ก็ตาม
ย่อมเป็นผู้มีความสุขในที่ทุกสถาน
นี้เป็นผลที่ข้าพเจ้ากล่าวสดุดีพระพุทธญาณ
[28] ภพนี้เป็นภพสุดท้ายของข้าพเจ้า
ภพสุดท้ายกำลังเป็นไปอยู่
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพัน1 ได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[29] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[30] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา 32 ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[31] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา 43 วิโมกข์ 84
และอภิญญา 65 ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระภัททาลิเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
ภัททาลิเถราปทานที่ 1 จบ

เชิงอรรถ :
1 กิเลสเครื่องผูกพัน หมายถึงสังโยชน์ 10 (ขุ.พุทฺธ.อ. 2/253)
2 ที.ปา. (แปล) 11/305/275, องฺ.ทสก. (แปล) 24/102/243-244
3 องฺ.จตุกฺก. (แปล) 21/172/242-243
4 ที.ปา. (แปล) 11/339/350-351
5 อภิญญา 6 หมายถึงญาณพิเศษมี 6 คือ (1) อิทธิวิธิ(แสดงฤทธิ์ได้ต่าง ๆ) (2) ทิพพโสต(หูทิพย์)
(3) เจโตปริยญาณ(ญาณกำหนดรู้ใจผู้อื่นได้) (4) ปุพเพนิวาสญาณ(ญาณเป็นเครื่องระลึกชาติได้)
(5) ทิพพจักขุญาณ(ญาณคือตาทิพย์เห็นสัตว์ที่กำลังจุติและอุบัติได้) (6) อาสวักขยญาณ(ญาณคือการ
ทำลายกิเลสให้สิ้นไป) (ขุ.อป.อ. 1/32/129)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 33 หน้า :5 }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [42. ภัททาลิวรรค] 2. เอกฉัตติยเถราปทาน
2. เอกฉัตติยเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระเอกฉัตติยเถระ
(พระเอกฉัตติยเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[32] ข้าพเจ้าได้สร้างอาศรม เกลื่อนกล่นด้วยทรายขาวสะอาด
ใกล้แม่น้ำจันทภาคา และได้สร้างบรรณศาลาไว้
[33] แม่น้ำจันทภาคานั้น เป็นแม่น้ำสายเล็กที่มีฝั่งลาด
และมีท่าราบเรียบ น่ารื่นรมย์ใจ มีปลาและเต่าชุกชุม
ทั้งยังเป็นที่อาศัยของจระเข้
[34] หมี นกยูง เสือเหลือง นกการเวก และนกสาลิกา
ร่ำร้องระงมอยู่ทุกเวลา ประดับอาศรมของข้าพเจ้าให้งดงาม
[35] นกดุเหว่ามีเสียงไพเราะ และหงส์มีเสียงเสนาะ
ก็ส่งเสียงร้องอยู่ใกล้อาศรมนั้น
ประดับอาศรมของข้าพเจ้าให้งดงาม
[36] ราชสีห์ เสือโคร่ง หมูป่า หมี หมาป่า และหมาใน
เที่ยวส่งเสียงคำรนอยู่ตามซอกเขา
ประดับอาศรมของข้าพเจ้าให้งดงาม
[37] เนื้อทราย กวาง สุนัขจิ้งจอก สุกร ก็มีมาก
ต่างส่งเสียงร้องอยู่ตามซอกเขา
ประดับอาศรมของข้าพเจ้าให้งดงาม
[38] ต้นราชพฤกษ์ ต้นจำปา ต้นแคฝอย
ต้นย่านทราย ต้นอุโลก1 และต้นอโศก
ประดับอาศรมของข้าพเจ้าให้งดงาม

เชิงอรรถ :
1 ต้นอุโลก เป็นไม้ชนิดหนึ่ง เนื้อไม้สีขาว (ใช้ทำยาได้) เวลามีดอกส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วทุกทิศ (ขุ.อิติ.อ.
685/199)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 33 หน้า :6 }