เมนู

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [41. เมตเตยยวรรค] 7. เหมกเถราปทาน
[179] น่าปลื้มใจจริง กรรมข้าพเจ้าทำไว้ดีแล้ว
ข้าพเจ้าหลุดพ้นจากชาติแล้ว สิ้นอาสวะทั้งปวงแล้ว
บัดนี้ ภพใหม่ไม่มีอีก
[180] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[181] การที่ข้าพเจ้าได้มาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา 3 ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[182] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา 4 วิโมกข์ 8
และอภิญญา 6 ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระนันทกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
นันทกเถราปทานที่ 6 จบ

7. เหมกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระเหมกเถระ
(พระเหมกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[183] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเป็นดาบสชื่ออโนมะ
อาศัยยอดเงื้อมเขาสร้างอาศรมไว้อย่างดี
อยู่ในบรรณศาลา
[184] การบำเพ็ญตบะของข้าพเจ้านั้นสำเร็จแล้ว
ข้าพเจ้าถึงความสำเร็จในพลังของตน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 32 หน้า :678 }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [41. เมตเตยยวรรค] 7. เหมกเถราปทาน
กล้าหาญในสามัญคุณของตน มีความเพียร
มีปัญญารักษาตน เป็นมุนี
[185] แกล้วกล้าในลัทธิสมัยของตน
ฉลาดในการโต้ตอบ
ไปได้ทั้งบนพื้นดินและในอากาศ
ฉลาดในลางร้ายลางดี
[186] ปราศจากความเศร้าโศก ไม่แข่งดี
มีอาหารน้อย(ฉันอาหารน้อย)
ไม่โลภจัด สันโดษตามมีตามได้ (ลาภาลาเภน)
มีปกติเข้าฌาน ยินดีในฌาน เป็นมุนี
[187] ครั้งนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปิยทัสสี
ผู้เลิศ ประกอบด้วยพระกรุณา เป็นมุนี
พระองค์ทรงประสงค์จะช่วยสัตว์ให้ข้ามพ้น(จากวัฏสงสาร)
จึงทรงแผ่พระกรุณาไป
[188] พระมหามุนีทรงพระนามว่าปิยทัสสี
ทรงพิจารณาเห็นคนผู้ควรตรัสรู้แล้ว
ก็เสด็จไปประทานโอวาทในที่ 1,000 จักรวาล
[189] พระองค์ทรงประสงค์จะช่วยเหลือข้าพเจ้า
จึงเสด็จเข้ามายังอาศรมของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นพระชินเจ้ามาก่อน
และไม่เคยได้ฟังมาจากใคร ๆ
[190] ลางดีลางร้าย ความฝัน
และลักษณะดีร้าย ข้าพเจ้ารู้ดีแล้ว
ข้าพเจ้าไปได้ทั้งบนพื้นดินและในอากาศ
ฉลาดในบทนักษัตร

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 32 หน้า :679 }