เมนู

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [2. สีหาสนิยวรรค] 2. เอกถัมภิกเถราปทาน
[20] ด้วยจิตที่เลื่อมใสนั้น ข้าพเจ้าได้เกิดยังวิมาน
วิมานของข้าพเจ้าสูงตระหง่านถึง 7 ชั้น
[21] เมื่อกลองตีดังกระหึ่มอยู่
ข้าพเจ้าได้รับการบำเรออยู่ทุกเมื่อ
ในกัปที่ 55 ข้าพเจ้าได้เป็นพระราชามีนามว่ายโสธระ
[22] แม้ในสถานที่นั้น วิมานของข้าพเจ้าก็สูงตระหง่านถึง 7 ชั้น
ประกอบด้วยเรือนยอดอย่างดี มีเสาต้นเดียวน่ารื่นรมย์ใจ
[23] ในกัปที่ 21 (นับจากกัปนี้ไป)
ข้าพเจ้าได้เกิดเป็นกษัตริย์มีนามว่าอุเทน
แม้ในสถานที่นั้น วิมานของข้าพเจ้าก็สูงตระหง่านถึง 7 ชั้น
[24] ข้าพเจ้าเกิดในกำเนิดใด ๆ
คือจะเกิดเป็นเทวดาหรือมนุษย์ก็ตาม
ข้าพเจ้าก็ได้เสวยความสุขนั้นทั้งหมด
นี้เป็นผลแห่งการถวายเสาต้นหนึ่ง
[25] ในกัปที่ 94 นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ถวายเสาไว้ ในครั้งนั้น
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายเสาต้นหนึ่ง
[26] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา 4 วิโมกข์ 8
และอภิญญา 6 ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระเอกถัมภิกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
เอกถัมภิกเถราปทานที่ 2 จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 32 หน้า :105 }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [2. สีหาสนิยวรรค] 3. นันทเถราปทาน
3. นันทเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระนันทเถระ
(พระนันทเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[27] ข้าพเจ้าได้ถวายผ้าเปลือกไม้แด่พระผู้มีพระภาค
พระนามว่าปทุมุตตระ ผู้เจริญที่สุดในโลก ผู้คงที่
ผู้เป็นพระสยัมภู ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[28] พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นผู้นำซึ่งรุ่งเรืองสูงสุด
ทรงพยากรณ์ข้าพเจ้านั้นว่า
ด้วยการถวายผ้านี้ ท่านจักเป็นผู้มีผิวพรรณดังทอง
[29] ท่านจักได้เสวยสมบัติทั้ง 2
ถูกกุศลมูลตักเตือนแล้ว
จักไปเกิดเป็นพระอนุชา
ของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่าโคดม
[30] ท่านมีปกติสุขสบายถูกราคะทำให้กำหนัด
ประกอบด้วยความกำหนัดในกามคุณ
ถูกพระพุทธเจ้าทรงตักเตือนแล้วว่า
เพราะเหตุนั้นเธอจักบวชหรือ
[31] ท่านครั้นออกบวชในศาสนา
ของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดมนั้น
ถูกกุศลมูลตักเตือนแล้ว
กำหนดรู้อาสวะทั้งปวง เป็นผู้ไม่มีอาสวะแล้วนิพพาน
[32] ในกัปที่ 1,100 (นับจากกัปนี้ไป)
ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ 4 ชาติ
มีพระนามว่าเจฬะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 32 หน้า :106 }