เมนู

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ 6. รตนสูตร
6. รตนสูตร 1
ว่าด้วยรตนะอันประณีต
(พระผู้มีพระภาคตรัสรตนสูตรดังนี้)
[1] ภูตทั้งหลายผู้สิงสถิตอยู่บนภาคพื้น2
หรือผู้สิงสถิตอยู่ในอากาศ3 ที่มาประชุมกันอยู่ ณ ที่นี้
ขอให้ภูตทั้งปวงจงเป็นผู้มีใจดี และจงฟังภาษิตโดยเคารพเถิด
[2] เพราะฉะนั้นแล ภูตทั้งปวง ท่านจงใคร่ครวญ
จงแผ่เมตตาต่อหมู่มนุษย์ด้วยเถิด
มนุษย์เหล่าใดนำเครื่องเซ่นสรวงมาให้
ทั้งกลางวันและกลางคืน
เพราะเหตุนั้น ขอท่านทั้งหลายอย่าประมาท
จงรักษามนุษย์เหล่านั้น
[3] ทรัพย์เครื่องปลื้มใจ หรือรัตนชาติที่ประณีต4ใด ๆ
ที่มีในโลกนี้ ในโลกอื่น หรือในสวรรค์
ทรัพย์หรือรัตนชาตินั้น ๆ ที่เสมอด้วยตถาคต ไม่มี
นี้เป็นรัตนะอันประณีตในพระพุทธเจ้า
ด้วยสัจจะนี้ ขอให้มีความสวัสดี

เชิงอรรถ :
1 ดู สุตตนิบาตข้อ 224-241 หน้า 529 ในเล่มนี้
2 คำว่า ภูต มีความหมายหลายนัย คือ นัยที่ 1 มีความหมายเชิงกริยาว่า “มีแล้ว” (หรือ “เกิดแล้ว” ดู วิ.มหา.
(แปล) 2/153/327) นัยที่ 2 หมายถึงขันธ์ 5 (ดู ม.มู. (แปล) 12/401/432) นัยที่ 3 หมายถึงธาตุ 4
มีปฐวีธาตุ เป็นต้น (ดู ม.อุ. 14/86/68) นัยที่ 4 หมายถึงพระขีณาสพ (ดู ขุ.ชา. (แปล) 27/190/116)
นัยที่ 5 หมายถึง สรรพสัตว์ (ดู ที.ม. (แปล) 10/220/167) นัยที่ 6 หมายถึงรุกขชาติต่าง ๆ (ดู วิ.มหา.
(แปล) 2/90/116) นัยที่ 7 หมายถึงหมู่สัตว์นับแต่ท้าวมหาราชทั้ง 4 ลงมา (ดู ม.มู. (แปล) 12/3/5)
ในที่นี้หมายถึงอมนุษย์ที่มีศักดิ์น้อย หรืออมนุษย์ที่มีศักดิ์มาก และคำว่า ผู้สิงสถิตอยู่บนภาคพื้น หมายถึง
ภุมมเทวดาคือเทวดาที่บังเกิดบนพื้นดิน ต้นไม้ และภูเขา เป็นต้น (ขุ.ขุ.อ. 6/145)
3 ผู้สิงสถิตอยู่ในอากาศ หมายถึงเทวดาที่บังเกิดในวิมานในอากาศตั้งแต่สวรรค์ชั้นยามาจนถึงพรหมโลก
ชั้นอกนิษฐา (ขุ.ขุ.อ. 6/145)
4 ประณีต ในที่นี้หมายถึงสูงสุด ประเสริฐสุด (ขุ.ขุ.อ. 6/149)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 25 หน้า :9 }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ 6. รตนสูตร
[4] พระศากยมุนีผู้มีพระทัยตั้งมั่น
ทรงบรรลุธรรมใดอันเป็นที่สิ้นกิเลส
ปราศจากราคะ เป็นอมตธรรมอันประณีต
ไม่มีธรรมใด ๆ ที่เสมอด้วยธรรมนั้น
นี้เป็นรัตนะอันประณีตในพระธรรม
ด้วยสัจจะนี้ ขอให้มีความสวัสดี
[5] พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ
ตรัสสรรเสริญสมาธิ1ใดว่าเป็นธรรมสะอาด
ตรัสถึงสมาธิใดว่าให้ผลโดยลำดับ
สมาธิอื่น2ที่เสมอด้วยสมาธินั้น ไม่มี
นี้เป็นรัตนะอันประณีตในพระธรรม
ด้วยสัจจะนี้ ขอให้มีความสวัสดี
[6] บุคคล 108 จำพวก3ที่สัตบุรุษสรรเสริญ
ซึ่งจัดเป็นบุคคล 4 คู่ เป็นสาวกของพระสุคต

เชิงอรรถ :
1 สมาธิ ในที่นี้หมายถึงอริยสัมมาสมาธิ (ม.อุ. 14/136/121) ที่เรียกว่า อานันตริกสมาธิ (สมาธิที่ให้ผล
โดยลำดับ) เพราะเป็นสมาธิที่ให้ผลแน่นนอนตามลำดับ สามารถถอนกิเลสได้สิ้นเชิง (ขุ.ขุ.อ. 6/158)
2 สมาธิอื่น หมายถึงรูปาวจรสมาธิและอรูปาวจรสมาธิ (ขุ.ขุ.อ. 6/159)
3 บุคคล 108 จำพวก ได้แก่ พระโสดาบัน 3 จำพวก คือ (1) เอกพีชี (2) โกลังโกละ (3) สัตตักขัตตุปรมะ
พระสกทาคามี 3 จำพวก คือ (1) ผู้บรรลุผลในกามภพ (2) ผู้บรรลุผลในรูปภพ (3) ผู้บรรลุผลในอรูปภพ
รวมพระโสดาบัน 3 จำพวก และพระสกทาคามี 3 จำพวก นับโดยปฏิปทา 4 ประการ จึงได้บุคคล 24
จำพวก (6 x 4 = 24) รวมกับพระอนาคามี 4 ชั้น คือ ชั้นอวิหา ชั้นอตัปปา ชั้นสุทัสสา ชั้นสุทัสสี
อีกชั้นละ 5 จำพวก (4 x 5 = 20) และพระอนาคามีชั้นอกนิษฐคามีอีก 4 จำพวก (20 + 4 = 24) เป็น
บุคคล 48 จำพวก (24 + 24 = 48) รวมกับพระอรหันต์ 2 จำพวก คือ (1) สุขวิปัสสก (2) สมถยานิก
เป็นบุคคล 50 จำพวก (48 + 2 = 50) รวมกับพระอริยบุคคลผู้ดำรงอยู่ในมรรคอีก 4 จำพวก เป็น
บุคคล 54 จำพวก (50 + 4 = 54)
บุคคลเหล่านี้มี 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายสัทธาธุระ 54 จำพวก และฝ่ายปัญญาธุระ 54 จำพวก จึงเป็น
พระอริยบุคคล 108 จำพวก (54 + 54 = 108) (ขุ.ขุ.อ. 6/159-160) นี้คือนัยโดยพิสดาร
ส่วนนัยโดยย่อ ได้แก่ บุคคล 8 จำพวก คือ (1) พระโสดาบัน (2) บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้ง
โสดาปัตติผล (3) พระสกทาคามี (4) บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งสกทาคามิผล (5) พระอนาคามี
(6) บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งอนาคามิผล (7) พระอรหันต์ (8) บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งอรหัตตผล
(ขุ.ขุ.อ. 6/160)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 25 หน้า :10 }