เมนู

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค [10. ภิกขุสังยุต] 10. เถรนามกสูตร

แล้วนั่ง ณ ที่สมควร พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามท่านเถระดังนี้ว่า ‘เถระ ได้ยินว่า
เธอมีปกติอยู่ผู้เดียว และมีปกติกล่าวสรรเสริญการอยู่ผู้เดียว จริงหรือ”
“จริง พระพุทธเจ้าข้า”
“ไฉนเธอจึงมีปกติอยู่ผู้เดียว และมีปกติกล่าวสรรเสริญการอยู่ผู้เดียว”
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในเรื่องนี้ ข้าพระองค์เข้าหมู่บ้านบิณฑบาตผู้เดียว
กลับผู้เดียว นั่งในที่ลับผู้เดียว อธิษฐานจงกรมผู้เดียว ข้าพระองค์มีปกติอยู่ผู้เดียว
และมีปกติกล่าวสรรเสริญการอยู่ผู้เดียว อย่างนี้”
“การอยู่ผู้เดียวนี้มีอยู่ เรามิได้กล่าวว่าไม่มี แต่การอยู่ผู้เดียวของเธอ เป็นอัน
บริบูรณ์โดยพิสดารกว่าด้วยประการใด เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดีด้วยประการนั้น เรา
จักกล่าว” ท่านพระเถระทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
“การอยู่ผู้เดียวที่บริบูรณ์โดยพิสดารกว่า เป็นอย่างไร
เถระ ในเรื่องนี้ สิ่งใด1 ที่ล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็ละได้แล้ว สิ่งใดยังไม่มาถึง สิ่งนั้น
ก็สละเสีย และความกำหนัดด้วยความพอใจในการได้อัตภาพในปัจจุบัน ก็ถูกกำจัด
ด้วยดีแล้ว การอยู่ผู้เดียวที่บริบูรณ์โดยพิสดารกว่า เป็นอย่างนี้”
พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสเวยยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถา
ประพันธ์ต่ออีกไปว่า
“เราเรียกนรชนผู้ครอบงำธรรมทั้งปวง2 ผู้รู้ทุกอย่าง
มีปัญญาดี ไม่แปดเปื้อนในธรรมทั้งปวง3
ละสิ่งทั้งปวงได้แล้ว หลุดพ้นแล้ว
ในเพราะธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา
ว่าเป็นผู้มีปกติอยู่ผู้เดียว”

เถรนามกสูตรที่ 10 จบ


พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค [10. ภิกขุสังยุต] 11. มหากัปปินสูตร

11. มหากัปปินสูตร
ว่าด้วยพระมหากัปปินะ

[245] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิก-
เศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี ครั้งนั้น ท่านพระมหากัปปินะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึง
ที่ประทับ พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นท่านพระมหากัปปินะกำลังเดินมา
แต่ไกล จึงรับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสถามว่า
“ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายเห็นภิกษุผู้ขาวโปร่ง จมูกโด่ง กำลังเดินมานั่นหรือ”
“เห็น พระพุทธเจ้าข้า”
“ภิกษุนั่นมีฤทธานุภาพมาก อนึ่ง สมาบัติที่เธอไม่เคยเข้า เธอก็เข้าได้โดยง่าย
เธอได้ทำให้แจ้งประโยชน์ยอดเยี่ยมอันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ที่เหล่ากุลบุตร
ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการด้วยปัญญาอันยิ่งเอง เข้าถึงอยู่ใน
ปัจจุบัน”
พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสเวยยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถา
ประพันธ์ต่ออีกไปว่า
“ในหมู่ชนที่ถือตระกูลเป็นใหญ่
กษัตริย์จัดว่าเป็นผู้ประเสริฐที่สุด
ส่วนท่านผู้เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
จัดว่าเป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่เทวดาและมนุษย์1
ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าในกลางวัน
ดวงจันทร์ส่องแสงเจิดจ้าในกลางคืน
กษัตริย์ผู้ทรงเครื่องรบย่อมสง่างาม
พราหมณ์ผู้เพ่งฌาน ย่อมรุ่งเรือง
ส่วนพระพุทธเจ้าย่อมรุ่งโรจน์ด้วยพระเดชานุภาพตลอดทั้งวันและ
คืน”

มหากัปปินสูตรที่ 11 จบ