เมนู

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค [1. นิทานสังยุต]
2. อาหารวรรค 8. ติมพรุกขสูตร

ท่านตรัสว่า ‘อย่ากล่าวอย่างนั้น ติมพรุกขะ’
เมื่อข้าพเจ้าทูลถามว่า ‘ท่านพระโคดม สุขและทุกข์เกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุที่
ตนกระทำเองก็มิใช่ และคนอื่นกระทำให้ก็มิใช่หรือ’
ท่านตรัสว่า ‘อย่ากล่าวอย่างนั้น ติมพรุกขะ’
เมื่อข้าพเจ้าทูลถามว่า ‘ท่านพระโคดม สุขและทุกข์ไม่มีหรือ’
ท่านตรัสว่า ‘ติมพรุกขะ สุขและทุกข์ไม่มีก็มิใช่ สุขและทุกข์มีอยู่’
เมื่อข้าพเจ้าทูลถามว่า ‘ถ้าอย่างนั้น ท่านพระโคดม ย่อมไม่รู้เห็นสุขและทุกข์หรือ’
ท่านตรัสว่า ‘ติมพรุกขะ เราไม่รู้เห็นสุขและทุกข์ก็มิใช่ เรานี่แหละที่รู้เห็นสุข
และทุกข์โดยแท้’
ขอท่านพระโคดมโปรดตรัสบอกสุขและทุกข์แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด ขอท่านพระโคดม
โปรดแสดงสุขและทุกข์แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด”
“เมื่อเบื้องต้นมีวาทะว่า ‘นั้นเวทนา ผู้นั้นเสวยเวทนา’ แต่เราไม่กล่าว
อย่างนี้ว่า ‘สุขและทุกข์เป็นสิ่งที่ตนกระทำเอง’ เมื่อบุคคลถูกเวทนาเสียดแทงว่า
‘เวทนาเป็นอย่างหนึ่ง บุคคลผู้เสวยเวทนาก็อย่างหนึ่ง’ ทั้งเราไม่กล่าวอย่างนี้ว่า
‘สุขและทุกข์เป็นสิ่งที่คนอื่นกระทำให้’ ตถาคตไม่เข้าไปใกล้ที่สุด 2 อย่างนี้ ย่อม
แสดงธรรมโดยสายกลางว่า ‘เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารทั้งหลายจึงมี เพราะ
สังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี ฯลฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ มีได้ด้วย
ประการฉะนี้
อนึ่ง เพราะอวิชชาดับไปไม่เหลือด้วยวิราคะ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ
วิญญาณจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ มีได้ด้วยประการฉะนี้
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ติมพรุกขปริพาชกได้กราบทูลว่า ‘ท่าน
พระโคดม พระภาษิตของพระองค์ชัดเจนไพเราะยิ่งนัก ท่านพระโคดม พระภาษิต
ของพระองค์ชัดเจนไพเราะยิ่งนัก ฯลฯ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ขอถึงท่าน
พระโคดมพร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ขอท่านพระโคดมโปรดทรงจำ
ข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนตลอดชีวิต’

ติมพรุกขสูตรที่ 8 จบ


พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค [1. นิทานสังยุต]
2. อาหารวรรค 9. พาลปัณฑิตสูตร

9. พาลปัณฑิตสูตร
ว่าด้วยคนพาลและบัณฑิต

[19] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ... เขตกรุงสาวัตถี
“ภิกษุทั้งหลาย กายของคนพาลนี้ ผู้ถูกอวิชชาขวางกั้น ประกอบด้วยตัณหา
เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ กายและนามรูปภายนอกนี้1 มีอยู่ทั้ง 2 ส่วนอย่างนี้ เพราะ
อาศัยส่วนทั้ง 2 นั้น ผัสสะจึงมี คนพาลถูกผัสสายตนะ 6 หรืออายตนะอย่างใด
อย่างหนึ่งกระทบเข้า จึงเสวยสุขและทุกข์
กายของบัณฑิตนี้ ผู้ถูกอวิชชาขวางกั้น ประกอบด้วยตัณหา เกิดขึ้นแล้ว
อย่างนี้ กายและนามรูปภายนอกนี้ มีอยู่ทั้ง 2 ส่วนอย่างนี้ เพราะอาศัยส่วน
ทั้ง 2 นั้น ผัสสะจึงมี บัณฑิตถูกผัสสายตนะ 6 หรืออายตนะอย่างใดอย่างหนึ่ง
กระทบเข้า จึงเสวยสุขและทุกข์
ในชน 2 จำพวกนั้น มีอะไรเป็นความแปลกกัน เป็นความแตกต่างกัน
เป็นเหตุทำให้ต่างกัน ระหว่างบัณฑิตกับคนพาล
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของพวกข้าพระองค์ มีพระผู้มีพระภาคเป็นหลัก
มีพระผู้มีพระภาคเป็นผู้นำ มีพระผู้มีพระภาคเป็นที่พึ่ง ขอประทานวโรกาส เฉพาะ
พระผู้มีพระภาคเท่านั้นที่จะทรงอธิบายเนื้อความแห่งพระภาษิตนั้นให้แจ่มแจ้งได้
ภิกษุทั้งหลายได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้”
“ถ้าเช่นนั้น เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว” ภิกษุเหล่านั้นทูลรับ
สนองพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสเรื่องนี้ว่า