พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ [5. พราหมณวรรค] 10. สังคารวสูตร
ในสำนักอุทกดาบส
[476] ภารทวาชะ เรานั้นแสวงหาว่าอะไรเป็นกุศล ขณะที่แสวงหาทางอัน
ประเสริฐคือความสงบซึ่งไม่มีทางอื่นยิ่งกว่า ได้เข้าไปหาอุทกดาบส รามบุตรแล้ว
กล่าวว่า ท่านรามะ ข้าพเจ้าปรารถนาจะประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัยนี้
เมื่อเรากล่าวอย่างนี้แล้ว อุทกดาบส รามบุตรจึงกล่าวกับเราว่า เชิญท่านอยู่ก่อน
ธรรมนี้ก็เป็นเช่นเดียวกับธรรมที่วิญญูชนจะพึงทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ตามแบบ
อาจารย์ของตนเข้าถึงอยู่ได้ในเวลาไม่นาน จากนั้นไม่นาน เราก็เรียนรู้ธรรมนั้นได้
อย่างรวดเร็ว ชั่วขณะปิดปากจบเจรจาปราศรัยเท่านั้น ก็กล่าวญาณวาทะและเถร-
วาทะได้ ทั้งเราและผู้อื่นก็ทราบชัดว่า เรารู้ เราเห็น เราจึงคิดว่า อุทกดาบส
รามบุตรประกาศธรรมนี้ด้วยเหตุเพียงความเชื่ออย่างเดียวว่า เราทำให้แจ้งด้วย
ปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่ ก็หามิได้ แต่อุทกดาบส รามบุตรยังรู้ ยังเห็นธรรม
นี้ด้วยอย่างแน่นอน
จากนั้น เราจึงเข้าไปหาอุทกดาบส รามบุตรแล้วถามว่า ท่านรามะ ท่านประกาศว่า
ข้าพเจ้าทำให้แจ้งธรรมนี้ด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่ ด้วยเหตุเพียงเท่าไร
เมื่อเราถามอย่างนี้แล้ว อุทกดาบส รามบุตรจึงประกาศเนวสัญญา-
นาสัญญายตนสมาบัติแก่เรา เราจึงคิดว่า มิใช่แต่อุทกดาบส รามบุตรเท่านั้นที่มี
ศรัทธา แม้เราก็มีศรัทธา ... มีวิริยะ ... มีสติ ... มีสมาธิ ... มิใช่แต่อุทกดาบส
รามบุตรเท่านั้นที่มีปัญญา แม้เราก็มีปัญญา ทางที่ดี เราควรเริ่มบำเพ็ญเพียรเพื่อ
ทำให้แจ้งธรรมที่อุทกดาบส รามบุตรประกาศว่า ข้าพเจ้าทำให้แจ้งธรรมนี้ด้วย
ปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่ จากนั้นไม่นานเราก็ทำให้แจ้งธรรมนั้นด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
เข้าถึงอยู่
จากนั้น เราจึงเข้าไปหาอุทกดาบส รามบุตรแล้วถามว่า ท่านรามะ ท่านประกาศว่า
ข้าพเจ้าทำให้แจ้งธรรมนี้ด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หรือ