เมนู

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ [1. คหปติวรรค] 6. อุปาลิวาทสูตร

เปรียบเทียบทัณฑะ 3 กับกรรม 3

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามนิครนถ์ชื่อทีฆตปัสสีว่า “ตปัสสี นิครนถ์ นาฏบุตร
บัญญัติกรรมในการทำกรรมชั่ว ในการประพฤติกรรมชั่วไว้เท่าไร”
นิครนถ์ชื่อทีฆตปัสสีทูลตอบว่า “ท่านพระโคดม นิครนถ์ นาฏบุตรมิได้บัญญัติ
เป็นอาจิณว่า ‘กรรม กรรม’ แต่บัญญัติเป็นอาจิณว่า ‘ทัณฑะ ทัณฑะ’
“ตปัสสี นิครนถ์ นาฏบุตรบัญญัติทัณฑะในการทำกรรมชั่ว ในการประพฤติ
กรรมชั่วไว้เท่าไร”
“ท่านพระโคดม นิครนถ์ นาฏบุตรบัญญัติทัณฑะในการทำกรรมชั่ว ในการ
ประพฤติกรรมชั่วไว้ 3 ประการ คือ (1) กายทัณฑะ (2) วจีทัณฑะ (3) มโนทัณฑะ”
“ตปัสสี กายทัณฑะอย่างหนึ่ง วจีทัณฑะอย่างหนึ่ง มโนทัณฑะอย่างหนึ่งหรือ”
“ท่านพระโคดม กายทัณฑะก็อย่างหนึ่ง วจีทัณฑะก็อย่างหนึ่ง มโนทัณฑะ
ก็อย่างหนึ่ง”
“ตปัสสี บรรดาทัณฑะทั้ง 3 ประการนี้ที่จำแนกแยกเป็นอย่างนี้ คือ
(1) กายทัณฑะ (2) วจีทัณฑะ (3) มโนทัณฑะ นิครนถ์ นาฏบุตรบัญญัติทัณฑะ
ไหนว่ามีโทษมากกว่ากัน ในการทำกรรมชั่ว ในการประพฤติกรรมชั่ว”
“ท่านพระโคดม บรรดาทัณฑะทั้ง 3 ประการ ที่จำแนกแยกเป็นอย่างนี้
นิครนถ์ นาฏบุตรบัญญัติกายทัณฑะว่ามีโทษมากกว่ากัน ในการทำกรรมชั่ว ในการ
ประพฤติกรรมชั่ว มิใช่วจีทัณฑะ หรือมโนทัณฑะ”
“ตปัสสี ท่านตอบว่า ‘กายทัณฑะ’ หรือ”
“ท่านพระโคดม ข้าพระองค์ทูลตอบว่า ‘กายทัณฑะ”
“ตปัสสี ท่านตอบว่า ‘กายทัณฑะ’ หรือ”
“ท่านพระโคดม ข้าพระองค์ทูลตอบว่า ‘กายทัณฑะ”
“ตปัสสี ท่านตอบว่า ‘กายทัณฑะ’ หรือ”
“ท่านพระโคดม ข้าพระองค์ทูลตอบว่า ‘กายทัณฑะ”
พระผู้มีพระภาคทรงให้นิครนถ์ชื่อทีฆตปัสสียืนยันคำพูดนี้ถึง 3 ครั้ง ด้วยประการ
อย่างนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 13 หน้า :54 }


พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ [1. คหปติวรรค] 6. อุปาลิวาทสูตร

[57] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว นิครนถ์ชื่อทีฆตปัสสีจึงได้ทูลถาม
พระผู้มีพระภาคว่า “ท่านพระโคดม พระองค์ทรงบัญญัติทัณฑะในการทำกรรมชั่ว
ในการประพฤติกรรมชั่วไว้เท่าไร”
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “ตปัสสี ตถาคตมิได้บัญญัติเป็นอาจิณว่า
‘ทัณฑะ ทัณฑะ’ แต่บัญญัติเป็นอาจิณว่า ‘กรรม กรรม”
“ท่านพระโคดม พระองค์ทรงบัญญัติกรรมในการทำกรรมชั่ว ในการประพฤติ
กรรมชั่วไว้เท่าไร”
“ตปัสสี เราบัญญัติกรรมในการทำกรรมชั่ว ในการประพฤติกรรมชั่วไว้ 3 ประการ
คือ (1) กายกรรม (2) วจีกรรม (3) มโนกรรม1”
“ท่านพระโคดม กายกรรมอย่างหนึ่ง วจีกรรมอย่างหนึ่ง มโนกรรมอย่างหนึ่ง
เท่านั้นหรือ”
“ตปัสสี กายกรรมก็อย่างหนึ่ง วจีกรรมก็อย่างหนึ่ง มโนกรรมก็อย่างหนึ่ง
เท่านั้น”
“ท่านพระโคดม บรรดากรรมทั้ง 3 ประการนี้ที่จำแนกแยกเป็นอย่างนี้ คือ
(1) กายกรรม (2) วจีกรรม (3) มโนกรรม พระองค์ทรงบัญญัติกรรมไหนว่ามี
โทษมากกว่ากัน ในการทำกรรมชั่ว ในการประพฤติกรรมชั่ว”
“ตปัสสี บรรดากรรมทั้ง 3 ประการที่จำแนกแยกเป็นอย่างนี้ เราบัญญัติ
มโนกรรมว่ามีโทษมากกว่า ในการทำกรรมชั่ว ในการประพฤติกรรมชั่ว มิใช่กายกรรม
หรือวจีกรรม”