พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ [2. ภิกขุวรรค] 8. นฬกปานสูตร
เป็นผู้มีธรรมอย่างนี้ ... เป็นผู้มีปัญญาอย่างนี้... เป็นผู้มีวิหารธรรมอย่างนี้ ท่านรูป
นั้นเป็นผู้หลุดพ้นแล้วอย่างนี้ ภิกษุนั้นเมื่อระลึกถึงศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และ
ปัญญาของท่านรูปนั้น ก็จะน้อมจิตไปเพื่อศรัทธาเป็นต้นนั้น การอยู่อย่างผาสุกย่อม
มีแก่ภิกษุ ด้วยประการฉะนี้แล
อนุรุทธะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ได้ฟังว่า ภิกษุชื่อนี้มรณภาพแล้ว ได้รับพยากรณ์
จากพระผู้มีพระภาคว่า ท่านรูปนั้นเป็นโสดาบัน เพราะสังโยชน์ 3 ประการสิ้นไป
เป็นผู้ไม่มีทางตกต่ำ มีความแน่นอนที่จะสำเร็จสัมโพธิในวันข้างหน้าภิกษุนั้นได้
เห็นเองหรือได้ฟังมาว่า ท่านรูปนั้นเป็นผู้มีศีลอย่างนี้ ... เป็นผู้มีธรรมอย่างนี้ ...
เป็นผู้มีปัญญาอย่างนี้ ... เป็นผู้มีวิหารธรรมอย่างนี้ ท่านรูปนั้นเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว
อย่างนี้ ภิกษุนั้นเมื่อระลึกถึงศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญาของท่านรูปนั้น
ก็จะน้อมจิตไปเพื่อศรัทธาเป็นต้นนั้น การอยู่อย่างผาสุกย่อมมีแก่ภิกษุ ด้วยประการ
ฉะนี้แล
การอยู่อย่างผาสุกของภิกษุณี
[170] อนุรุทธะ ภิกษุณีในธรรมวินัยนี้ได้ฟังว่า ภิกษุณีชื่อนี้มรณภาพแล้ว
ได้รับพยากรณ์จากพระผู้มีพระภาคว่า น้องหญิงนั้นดำรงอยู่ในอรหัตตผล ภิกษุณี
นั้นได้เห็นเองหรือได้ฟังมาว่า น้องหญิงนั้นเป็นผู้มีศีลอย่างนี้ น้องหญิงนั้นเป็นผู้มี
ธรรมอย่างนี้ น้องหญิงนั้นเป็นผู้มีปัญญาอย่างนี้ น้องหญิงนั้นเป็นผู้มีวิหารธรรม
อย่างนี้ น้องหญิงนั้นเป็นผู้หลุดพ้นแล้วอย่างนี้ ภิกษุณีนั้นเมื่อระลึกถึงศรัทธา
ศีล สุตะ จาคะ และปัญญาของน้องหญิงนั้น ก็จะน้อมจิตไปเพื่อศรัทธาเป็นต้นนั้น
การอยู่อย่างผาสุกย่อมมีแก่ภิกษุณี ด้วยประการฉะนี้แล
ภิกษุณีในธรรมวินัยนี้ได้ฟังว่า ภิกษุณีชื่อนี้มรณภาพแล้ว ได้รับพยากรณ์จาก
พระผู้มีพระภาคว่า น้องหญิงนั้นเป็นโอปปาติกะ เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ 5
ประการสิ้นไป จักปรินิพพานในภพนั้น ไม่หวนกลับมาจากโลกนั้นอีก ภิกษุณีนั้นได้
เห็นเองหรือได้ฟังมาว่า น้องหญิงนั้นเป็นผู้มีศีลอย่างนี้ น้องหญิงนั้นเป็นผู้มีธรรม
อย่างนี้ น้องหญิงนั้นเป็นผู้มีปัญญาอย่างนี้ น้องหญิงนั้นเป็นผู้มีวิหารธรรมอย่างนี้
น้องหญิงนั้นเป็นผู้หลุดพ้นแล้วอย่างนี้ ภิกษุณีนั้นเมื่อระลึกถึงศรัทธา ศีล สุตะ
จาคะ และปัญญาของน้องหญิงนั้น ก็จะน้อมจิตไปเพื่อศรัทธาเป็นต้นนั้น การอยู่
อย่างผาสุกย่อมมีแก่ภิกษุณี ด้วยประการฉะนี้แล