พระสุตตันตปิฏก ทีฆนิกาย มหาวรรค [2. มหานิทานสูตร] ปฏิจจสมุปบาท
เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์
โทมนัส และอุปายาสจึงมี
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้มีได้ ด้วยประการฉะนี้
[98] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวไว้เช่นนี้ว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
เธอพึงทราบเหตุผลที่ชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าชาติ คือ ชาติ
เพื่อความเป็นเทพของพวกเทพ เพื่อความเป็นคนธรรพ์ของพวกคนธรรพ์ เพื่อความ
เป็นยักษ์ของพวกยักษ์ เพื่อความเป็นภูตของพวกภูต เพื่อความเป็นมนุษย์ของพวก
มนุษย์ เพื่อความเป็นสัตว์สี่เท้าของพวกสัตว์สี่เท้า เพื่อความเป็นสัตว์ปีกของพวก
สัตว์ปีก เพื่อความเป็นสัตว์เลื้อยคลานของพวกสัตว์เลื้อยคลาน ไม่ได้มีแก่ใคร ๆ
ในภพไหน ๆ ทั่วทุกแห่ง ก็ถ้าชาติไม่ได้มีเพื่อความเป็นอย่างนั้นของสรรพสัตว์พวกนั้น ๆ
เมื่อชาติไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะชาติดับไป ชรามรณะจะปรากฏได้หรือ
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด
และปัจจัยแห่งชราและมรณะ ก็คือชาตินั่นเอง
[99] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวไว้เช่นนี้ว่า เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
เธอพึงทราบเหตุผลที่ภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าภพ คือ กามภพ
รูปภพ หรืออรูปภพ ไม่ได้มีแก่ใคร ๆ ในภพไหน ๆ ทั่วทุกแห่ง เมื่อภพไม่มีโดยประการ
ทั้งปวง เพราะภพดับไป ชาติจะปรากฏได้หรือ
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด
และปัจจัยแห่งชาติ ก็คือภพนั่นเอง
[100] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวไว้เช่นนี้ว่า เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
เธอพึงทราบเหตุผลที่อุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าอุปาทาน คือ
กามุปาทาน (ความยึดมั่นในกาม) ทิฏฐุปาทาน(ความยึดมั่นในทิฏฐิ) สีลัพพตุปาทาน
พระสุตตันตปิฏก ทีฆนิกาย มหาวรรค [2. มหานิทานสูตร] ปฏิจจสมุปบาท
(ความยึดมั่นในศีลพรต) หรืออัตตวาทุปาทาน(ความยึดมั่นในวาทะว่ามีอัตตา) ไม่ได้
มีแก่ใคร ๆ ในภพไหน ๆ ทั่วทุกแห่ง เมื่ออุปาทานไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะ
อุปาทานดับไป ภพจะปรากฏได้หรือ
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด
และปัจจัยแห่งภพ ก็คืออุปาทานนั่นเอง
[101] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวไว้เช่นนี้ว่า เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทาน
จึงมี เธอพึงทราบเหตุผลที่ตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าตัณหา
คือ รูปตัณหา(อยากได้รูป) สัททตัณหา(อยากได้เสียง) คันธตัณหา(อยากได้กลิ่น)
รสตัณหา(อยากได้รส) โผฏฐัพพตัณหา(อยากได้โผฏฐัพพะ) และธัมมตัณหา (อยากได้
ธรรมารมณ์) ไม่ได้มีแก่ใคร ๆ ในภพไหน ๆ ทั่วทุกแห่ง เมื่อตัณหาไม่มีโดยประการ
ทั้งปวง เพราะตัณหาดับไป อุปาทานจะปรากฏได้หรือ
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด
และปัจจัยแห่งอุปาทาน ก็คือตัณหานั่นเอง
[102] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวไว้เช่นนี้ว่า เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
เธอพึงทราบเหตุผลที่เวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าเวทนา คือ
เวทนาที่เกิดจากจักขุสัมผัส เวทนาที่เกิดจากโสตสัมผัส เวทนาที่เกิดจากฆานสัมผัส
เวทนาที่เกิดจากชิวหาสัมผัส เวทนาที่เกิดจากกายสัมผัส และเวทนาที่เกิดจาก
มโนสัมผัส ไม่ได้มีแก่ใคร ๆ ในภพไหน ๆ ทั่วทุกแห่ง เมื่อเวทนาไม่มีโดยประการ
ทั้งปวง เพราะเวทนาดับไป ตัณหาจะปรากฏได้หรือ
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด
และปัจจัยแห่งตัณหา ก็คือเวทนานั่นเอง