พระวินัยปิฎก มหาวรรค [1.มหาขันธกะ] 12.อุรุเวลปาฎิหาริยกถา
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงพระดำริดังนี้ว่า เราจะพึงขยำผ้าบังสุกุลที่ไหนหนอ
ลำดับนั้น ท้าวสักกะจอมเทพทรงทราบพระดำริในพระทัยของพระผู้มีพระภาค
ด้วยพระทัย จึงทรงยกศิลาแผ่นใหญ่มาวางไว้ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระ
องค์โปรดทรงขยำผ้าบังสุกุลบนศิลานี้เถิด
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงพระดำริดังนี้ว่า เราจะพึงพาดผ้าบังสุกุลไว้ที่ไหน
หนอ
ลำดับนั้น เทวดาผู้สิงสถิตอยู่ที่ต้นกุ่มทราบพระดำริในพระทัยของพระผู้มี
พระภาคด้วยใจ จึงได้น้อมกิ่งกุ่มลงมา กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์
โปรดทรงพาดผ้าบังสุกุล ที่กิ่งกุ่มนี้เถิด
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงพระดำริดังนี้ว่า เราจะพึงผึ่งผ้าบังสุกุลไว้ที่ไหนหนอ
ลำดับนั้น ท้าวสักกะจอมเทพทรงทราบพระดำริในพระทัยของพระผู้มีพระภาค
ด้วยพระทัย จึงทรงยกศิลาแผ่นใหญ่มาวางไว้ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระ
องค์โปรดทรงผึ่งผ้าบังสุกุลไว้บนศิลานี้เถิด
ครั้นราตรีนั้นผ่านไป ชฎิลอุรุเวลกัสสปะได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ครั้นถึงแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระมหาสมณะ ได้เวลาแล้ว
ภัตตาหารเสร็จแล้ว ข้าแต่พระมหาสมณะ เมื่อก่อนสระโบกขรณีนี้ไม่มีที่ตรงนี้ ทำไม
ที่ตรงนี้จึงมีสระโบกขรณีอยู่ เมื่อก่อนศิลาเหล่านี้ไม่มีวางอยู่ ศิลาเหล่านี้ ใครยกมา
วางไว้ เมื่อก่อนกิ่งกุ่มต้นนี้ไม่น้อมลง(เดี๋ยวนี้)กิ่งกุ่มต้นนี้กลับน้อมลง
เรื่องสระโบกขรณี
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า กัสสปะ ผ้าบังสุกุลเกิดขึ้นแก่เราที่นี่ เราได้คิดดังนี้ว่า
จะพึงซักผ้าบังสุกุลที่ไหนหนอ ลำดับนั้น ท้าวสักกะจอมเทพทรงทราบความรำพึง
ในใจของเราด้วยพระทัย จึงทรงใช้พระหัตถ์ขุดสระโบกขรณีแล้วทูลว่า ข้าแต่พระองค์