เมนู

พระวินัยปิฎก มหาวรรค [1.มหาขันธกะ] 12.อุรุเวลปาฎิหาริยกถา
เมื่อราตรีผ่านไปแล้ว1 ท้าวมหาราชทั้ง 4 เปล่งรัศมีงามยังไพรสณฑ์ทั้งสิ้น
ให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นถึงแล้วได้ถวายอภิวาทพระผู้มี
พระภาคแล้วได้ยืนเฝ้าทั้ง 4 ทิศ ดุจกองไฟใหญ่ฉะนั้น
ครั้นราตรีนั้นผ่านไป ชฎิลอุรุเวลกัสสปะได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ครั้นถึงแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “ข้าแต่มหาสมณะ ได้เวลาแล้ว
ภัตตาหารเสร็จแล้ว ท่านพระมหาสมณะ เมื่อราตรีผ่านไปแล้ว พวกนั้นคือใครกันหนอ
เปล่งรัศมีงามยังไพรสณฑ์ทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้ามาเฝ้าพระองค์ ถวายอภิวาทแล้ว
ได้ยืนเฝ้าทั้ง 4 ทิศ ดุจกองไฟใหญ่ฉะนั้น”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “กัสสปะ พวกนั้น คือ ท้าวมหาราชทั้ง 4 เข้ามาหา
เราเพื่อฟังธรรม”
ขณะนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปะได้มีความคิดดังนี้ว่า “พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก
มีอานุภาพมากจริง ถึงกับท้าวมหาราชทั้ง 4 เข้ามาเฝ้าเพื่อฟังธรรม แต่ไม่เป็น
พระอรหันต์เหมือนเราแน่”
พระผู้มีพระภาคเสวยภัตตาหารของชฎิลอุรุเวลกัสสปะ แล้วประทับอยู่ที่
ไพรสณฑ์แห่งนั้น
ปาฏิหาริย์ที่ 2 จบ

ปาฏิหาริย์ที่ 3
เรื่องท้าวสักกะ
[41] ครั้งนั้น เมื่อราตรีผ่านไปแล้ว ท้าวสักกะจอมเทพ เปล่งรัศมีงาม
ยังไพรสณฑ์ทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นถึงแล้ว
ได้ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วประทับยืน ณ ที่สมควร ดุจกองไฟใหญ่ที่งาม
และประณีตกว่ารัศมีก่อน

เชิงอรรถ :
1 เมื่อราตรีผ่านไป ในที่นี้หมายถึงราตรีในช่วงแห่งปฐมยาม(ยามที่ 1)ผ่านไป เพราะเวลาเที่ยงคืน เป็นช่วง
ที่เทวดาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า (ขุ.ขุ.อ. 99)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 4 หน้า :51 }