เมนู

พระวินัยปิฎก มหาวรรค [4. ปวารณาขันธกะ] 140. เทฺววาจิกาทิปวารณา
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ปวารณาหนเดียว”
ชาวป่าได้มาพลุกพล่านมากยิ่งขึ้น ภิกษุทั้งหลายไม่อาจปวารณาหนเดียว
จึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ปวารณามีพรรษา
เท่ากัน”1

เรื่องปวารณาเมื่อราตรีจวนสว่าง
สมัยนั้น ณ อาวาสแห่งหนึ่ง ในวันปวารณานั้น ชาวบ้านมัวให้ทานจน
ราตรีจวนสว่าง ครั้นแล้ว ภิกษุเหล่านั้นได้ปรึกษากันดังนี้ว่า “ชาวบ้านมัวให้ทาน
จนราตรีจวนสว่าง ถ้าสงฆ์จักปวารณา 3 หนไซร้ สงฆ์จักปวารณาไม่ทัน เมื่อ
เป็นเช่นนี้ ราตรีก็จักสว่าง พวกเราจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ” จึงนำเรื่องนี้ไป
กราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า “ภิกษุทั้งหลาย ก็ในกรณีนี้ ในอาวาสแห่งหนึ่ง
ในวันปวารณานั้น ชาวบ้านให้ทานจนราตรีจวนสว่าง ถ้าภิกษุทั้งหลายในอาวาส
นั้นได้ปรึกษากันดังนี้ว่า ”ชาวบ้านมัวให้ทานจนราตรีจวนสว่าง ถ้าสงฆ์จักปวารณา
3 หนไซร้ สงฆ์จักปวารณาไม่ทัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ราตรีก็จักสว่าง”
ภิกษุผู้ฉลาดสามารถพึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจาว่า
ท่านผู้เจริญ ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ชาวบ้านให้ทานอยู่จนราตรีจวนสว่าง
ถ้าสงฆ์จักปวารณา 3 หนไซร้ สงฆ์จักปวารณาไม่ทัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ราตรีก็จักสว่าง
ถ้าสงฆ์พร้อมกันแล้ว สงฆ์พึงปวารณา 2 หน ปวารณาหนเดียว ปวารณามี
พรรษาเท่ากัน
ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในกรณีนี้ ในอาวาสแห่งหนึ่ง ในวันปวารณานั้น ภิกษุ
ทั้งหลายกล่าวธรรมกัน ฯลฯ
... ภิกษุผู้ชำนาญพระสูตรก็สาธยายพระสูตรกัน...
... พระวินัยธรก็วินิจฉัยพระวินัยกัน...

เชิงอรรถ :
1 หมายถึง ให้ภิกษุที่มีพรรษาเท่ากัน ปวารณาพร้อมกัน (วิ.อ. 3/234/158)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 4 หน้า :375 }


พระวินัยปิฎก มหาวรรค [4. ปวารณาขันธกะ] 140. เทฺววาจิกาทิปวารณา
... พระธรรมกถึกก็สนทนาธรรมกัน...
... ภิกษุทั้งหลายทะเลาะกันจนราตรีจวนสว่าง ถ้าภิกษุทั้งหลายได้ปรึกษากัน
ดังนี้ว่า ภิกษุทั้งหลายทะเลาะกันจนราตรีจวนสว่าง ถ้าสงฆ์จักปวารณา 3 หนไซร้
สงฆ์จักปวารณาไม่ทัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ราตรีก็จักสว่าง
ภิกษุผู้ฉลาดสามารถพึงประกาศให้สงฆ์ทราบว่า
ท่านผู้เจริญ ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุทั้งหลายทะเลาะกันจนราตรีจวนสว่าง
ถ้าสงฆ์จักปวารณา 3 หนไซร้ สงฆ์จักปวารณาไม่ทัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ราตรีก็จักสว่าง
ถ้าสงฆ์พร้อมกันแล้ว สงฆ์พึงปวารณา 2 หน ปวารณาหนเดียว ปวารณามี
พรรษาเท่ากัน”

เรื่องปวารณาขณะที่ฝนตั้งเค้า
สมัยนั้น ณ อาวาสแห่งหนึ่งในแคว้นโกศล ในวันปวารณานั้น ภิกษุสงฆ์มา
ประชุมกันมาก ที่ประชุมจึงคับแคบ คุ้มฝนไม่ได้ และฝนก็ตั้งเค้าใหญ่ ภิกษุเหล่านั้น
ได้ปรึกษากันดังนี้ว่า “ภิกษุสงฆ์มาประชุมกันมาก ที่ประชุมจึงคับแคบ คุ้มฝนไม่ได้
และฝนก็ตั้งเค้าใหญ่ ถ้าสงฆ์จักปวารณา 3 หนไซร้ สงฆ์จักปวารณาไม่ทัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝนก็จักตกเสียก่อน พวกเราจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ” จึงนำเรื่อง
นี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า “ภิกษุทั้งหลาย ก็ในกรณีนี้ ในอาวาสแห่งหนึ่ง
ในวันปวารณานั้น ภิกษุสงฆ์มาประชุมกันมาก ที่ประชุมจึงคับแคบ คุ้มฝนไม่ได้ และ
ฝนก็ตั้งเค้าใหญ่ ถ้าภิกษุทั้งหลายได้ปรึกษากันดังนี้ว่า ภิกษุสงฆ์มาประชุมกันมาก
ที่ประชุมจึงคับแคบ คุ้มฝนไม่ได้ และฝนก็ตั้งเค้าใหญ่ ถ้าสงฆ์จักปวารณา 3 หนไซร้
สงฆ์จักปวารณาไม่ทัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝนก็จักตกเสียก่อน
ภิกษุผู้ฉลาดสามารถพึงประกาศให้สงฆ์ทราบว่า
ท่านผู้เจริญ ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุสงฆ์มาประชุมกันมาก ที่ประชุม
ก็คับแคบ คุ้มฝนไม่ได้ ทั้งฝนก็ตั้งเค้าใหญ่ ถ้าสงฆ์จักปวารณา 3 หนไซร้
สงฆ์จักปวารณาไม่ทัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝนก็จักตกเสียก่อน ถ้าสงฆ์พร้อมกันแล้ว
สงฆ์พึงปวารณา 2 หน ปวารณาหนเดียว ปวารณามีพรรษาเท่ากัน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 4 หน้า :376 }