ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา 2
บทที่ 1
พระพุทธศาสนาในประเทศลังกา
ถ้าจะเปรียบเทียบอินเดียเหมือนใบหน้าของหญิงสาว ลังกาก็คือ
หยาดน้ำตาหยดหนึ่งของเธอซึ่งไหลรินออกมา เนื้อที่ของลังกาประมาณ
1 ใน 3 ของประเทศไทย อุดมไปด้วยทิวเขาสูง ทิวเขาที่มีชื่อเสียง คือ
ยอดสุมนภู ที่ฝรั่งเรียกว่า "อาดัมพีค"
เนื้อที่ส่วนมากเป็นภูเขา ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก เนื้อที่
สำหรับเพาะปลูกในลังกามีน้อยมาก แต่ตามหุบเขามีลำธาร อุดมไปด้วย
แร่และพลอยสีต่าง ๆ ลังกาเป็นประเทศหนึ่งที่ผลิตพลอย และอัญญมณี
ส่งไปขายตลาดโลก พลอยลังกาได้รับการยกย่องว่า มีน้ำดีเป็นเยี่ยม
แม่น้ำลังกามีแต่สายสั้น ๆ ไม่เหมาะแก่การเดินเรือ ลมฟ้าอากาศอยู่ใน
เขตร้อน คืออยู่ใกล้แนวเส้นศูนย์สูตร ชาวลังกาจึงมีผิวดำสนิททุกคน
ไม่มีผิวขาว หรือผิวเหลืองเลย สินค้าออกของลังกาที่ขึ้นชื่อ คือ พลอย
ชา น้ำตาล
พลเมืองของลังกามีทั้งหมด 10 ล้าน เป็นชาวลังกาแท้ ๆ 7 ล้าน
นอกนั้นเป็นชาวทมิฬซึ่งมีประมาณ 1 ล้าน และคนชาติอื่น ๆ อีก ใน
จำนวนพลเมืองนี้ปรากฏมีผู้นับถือพุทธศาสนาประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์
ศาสนาที่รองลงมาได้แก่ศาสนาฮินดู ศาสนาคริสต์โรมันคาธอลิค และ
ศาสนามุสลิม ลังกาได้รับการยกย่องว่า เป็นไข่มุกแห่งเอเชีย เพราะ
เป็นศูนย์ผ่านของบรรดาเรือสินค้าในระหว่างยุโรป กับเอเชียและอาฟริกา
ปัจจุบันนี้เมืองโคลัมโบเป็นเมืองหลวงมีพระสงฆ์ทั้งหมดประมาณ 1 หมื่น
รูป แบ่งเป็น 3 นิกาย คือ
1. สยามนิกาย หรืออุบาลีวงศ์ มีพระมากประมาณ 8 พันรูป
2. อมรปุรินิกาย หรือมรัมมวงศ์ มีพระอยู่ราวเกือบ 2 พัน
รูป และ
3. รามัญนิกาย เป็นนิกายเล็กที่สุด ทั้ง 3 นิกายยังแบ่งเป็น
สาขาแตกแยกกันไป ตามสำนักต่าง ๆ
การศึกษาของพระ มีมหาวิทยาลัย 2 แห่ง คือ
1. วิทโยปริเวณ และ
2. วิทยาลังการะ
ประวัติชาติลังกา
ชาวพื้นเมืองของลังกาเป็นพวกรากษส ได้แก่คนป่าที่ยังไม่มี
วัฒนธรรม กินเนื้อดิบเป็นอาหาร เช่นเดียวกับพวกคนป่าในหมู่เกาะ
อันดามัน ในมหาสมุทรอินเดีย หรือพวกคนป่าในทวีปออสเตรเลีย เป็น
ต้น เพราะฉะนั้น วรรณคดีโบราณของอินเดียจึงเล่าถึงเรือสินค้าที่
ไปแตก ณ เกาะลังกา ถูกพวกรากษสจับคนกินเป็นอาหาร ต่อมาในราว
สมัยพุทธกาล หรือก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ชาติทราวิฑ (ฝรั่งเรียกเพี้ยน
เป็นดราวิเดียน) ได้อพยพจากแหลมอินเดีย เข้ามาตั้งรกรากอยู่ใน
ลังกา ต่อมาจึงมีพวกอารยันอพยพตามเข้ามา พวกนี้ได้มาสอนอารย-
ธรรมแก่ชาวพื้นเมือง ในรามายณะ กล่าวถึงท้าวราพณ์เป็นวงศ์พรหเมศ
แสดงว่าเป็นวรรณะพราหมณ์ เป็นผู้มีอิทธิพลครอบงำลังกาในครั้งนั้น
ต่อมาถูกพวกวรรณะกษัตริย์ซึ่งมีพระรามเป็นหัวหน้าเข้ามาทำลาย เรื่อง
ราวนี้เป็นเทพนิยาย แต่มีข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ คือ :-
พวกอารยันได้เข้ามาตั้งบ้านเมืองในลังกาแล้วก่อนพุทธกาล แต่
หลักฐานที่เป็นความจริงนั้น ปฐมกษัตริย์ของอารยันคือ พระเจ้าวิชัย
ซึ่งเป็นผู้มีเชื้อสายกษัตริย์ในเบงกอล มีนครอนุราธปุระเป็นเมืองหลวง
สืบลำดับวงศ์มาถึงสมัยพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ ซึ่งเป็นอทิฏฐสหายของ
พระเจ้าอโศก เมื่อพระเจ้าอโศกเลื่อมใสพุทธศาสนาแล้ว พระองค์ได้
ได้ส่งโอรสและธิดา คือพระมหินทเถระและสังฆมิตตาเถรี นำพุทธศาสนา
มาแพร่หลายในลังกาเป็นครั้งแรก พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ ได้ทรงพบ
พระมหินท์ครั้งแรก ณ มหาเมฆวันอุทยาน และทรงเลื่อมใสในพระพุทธ
ศาสนา อุทิศมหาเมฆวันอุทยานเป็นวัต ซึ่งต่อมาได้พัฒนาขึ้นเรียกว่า
"วัดมหาวิหาร"
พระพุทธศาสนาที่เข้าสู่ลังกานั้นเป็นนิกายเถรวาท โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งเป็นวิภัชชวาที กล่าวคือ เป็นแบบซึ่งได้ตกลงยุติกันในที่ประชุม
ตติยสังคายนา พระมหินท์ไปลังกาครั้งนี้ท่านได้นำพระไตรปิฎกและ
อรรถกถาไปด้วย และนางสังฆมิตตาเถรีก็ได้นำกิ่งพระศรีมหาโพธิ์จาก
พุทธคยาไปปลูกในลังกาเป็นปฐม พระนางเองได้เป็นอุปัชฌายะบรรพชา
อุปสมบทสตรีลังกา ซึ่งมีพระนางอนุฬาเทวีเป็นประมุข ตั้งคณะภิกษุณี
ขึ้นในลังกา ต่อมา ถึง พ. ศ. 400 เศษ ในแผ่นดินพระเจ้าวัฏฏคามินีอภัยั
พระองค์ได้เสียราชสมบัติแก่ข้าศึก เสด็จลี้ภัยไปซ่องสุมกำลัง ในระหว่าง
นั้นพระองค์ได้รับอุปถัมภ์จากพระเถระรูปหนึ่งชื่อพระมหาติสสะ เมื่อ
พระองค์กลับขึ้นเสวยราชย์ใหม่ ได้ทรงให้ทำสังคายนา ทรงยกย่อง
พระมหาติสสะพร้อมทั้งสร้างวัดให้ คือวัดอภัยคิรีวิหาร พวกคณะมหา
วิหารไม่พอใจ ประณามพระมหาติสสะว่า ประจบคฤหัสถ์เลยเป็นเหตุให้
แตกเป็น 2 คณะใหญ่ คือ:-
คณะมหาวิหารพวกหนึ่ง
คณะอภัยคิรีวิหารพวกหนึ่ง
จำเดิมแต่นั้นมา สังฆมณฑลในลังกาก็แตกออกเป็น 2 คณะ แต่
เป็นนิกายเถรวาทนิกายเดียวกัน มีคุณลักษณะพิเศษแตกต่างกัน คือ
1. คณะมหาวิหาร เป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมอย่างเคร่งครัด ตั้ง
ข้อรังเกียจภิกษุต่างนิกายว่าเป็นอลัชชีบ้าง ปาปภิกษุบ้าง เป็นพวก
สัทธรรมปฏิรูปบ้าง พวกมหาวิหารสามารถรักษาความบริสุทธิ์ของธรรม
ในนิกายเถรวาทไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ไ่ด้ยอมให้แก้ไขเปลี่ยนแปลง
ใด ๆ ทั้งสิ้น
2. คณะอภัยคิรีวิหาร เป็นคณะเสรีนิยม ไม่รังเกียจภิกษุต่าง
นิกาย ยินดีต้อนรับเอาความคิดเห็นของต่างนิกายเข้ามา เพราะฉะนั้น
เมื่อเกิดมีมหายานขึ้นแล้ว อภัยคิรีจึงเป็นศูนย์สำคัญแห่งหนึ่งของมหายาน
ได้ลังกาด้วย
ในศตวรรณที่ 9 เมื่อนักธรรมจาริกจีนฟาเหียนได้ค้นพบพระวินัย
ปิฎกของนิกายมหาสังฆิกะ ในอภัยคิรีวิหารนี้ พระทันตธาตุก็เป็นปูชนีย-
วัตถุสำนักนี้ ฟาเหียนได้บันทึกถึงพระแก้วมรกตในลังกา "พระพุทธ
รูปองค์นี้แต่เดิมมีเพชรเม็ดใหญ่ ประดับเป็นอุณาโลม ต่อมามีโจรคน
หนึ่งเข้าไปลัก พระปฏิมาสำแดงปาฏิหาริย์ลอยขึ้นเหนือบัลลังก์ โจรผู้นั้น
ตัดพ้อว่า ปางเมื่อพระมหาสัตว์ยังบำเพ็ญบารมีอยู่นั้น แม้แต่เลือดเนื้อ
ชีวิต พระองค์ก็อาจสละได้ ก็เหตุไฉน บัดนี้พระปฏิมาจึงหวงแหน
เพชรเพียงเม็ดเดียวเล่า พอว่าเช่นนั้นองค์พระปฏิมาจึงก้มลงพระเศียรต่ำลง
โจรจึงแกะเพชรไปได้สะดวก เมื่อราชบุรุษจับได้ โจรก็ยืนยันว่า ได้รับ
มาจากองค์พระปฏิมาเอง พระราชาพร้อมด้วยบริษัทจึงไปสอบสวนเห็น
ความจริง พระองค์จึงขอไ่ถ่เพชรเม็ดนั้นกลับคืนเป็นพุทธบูชา" ไม่มี
หลักฐานใดที่จะพิสูจน์ว่า พระแก้วองค์นั้นจะเป็นองค์เดียวกับของไทย
หรือไม่
พระพุทธโฆษาจารย์เถระ
ในรัชสมัยพระเจ้ามหานามแห่งลังกา ได้มีการฟื้นฟูวรรณกรรม
ภาษาบาลีขึ้นขนานใหญ่ เป็นผลงานของคณะมหาวิหาร ผลงานนี้ทำให้
มหาวิหารรุ่งโรจน์นำหน้าอภัยคิรีวิหาร คณาจารย์ผู้มีบทบาทสำคัญใน
การทำงานดังกล่าวนี้คือ พระพุทธโฆษาจารย์ ท่านผู้นี้เป็นชาวอินเดีย
เกิดในศตวรรษที่ 9 เป็นพราหมณ์โดยกำเนิด ภายหลังออกบวชในพระ
พุทธศาสนา ปัญหาเรื่องชาติภูมิของท่าน ยังมีข้อสงสัย ถ้าเชื่อตาม
ตำนาน ซึ่งเป็นเรื่องแต่งภายหลังช้านาน ท่านก็เป็นชาวมคธ เกิดใน
บริเวณตำบลพุทธคยา แต่ศึกษาจากผลงานของท่านแสดงว่า ท่านไม่
ค่อยรู้ถึงเรื่องภูมิศาสตร์ทางภาคเหนือของอินเดียมากเท่ากับที่ท่านรู้
ภูมิศาสตร์ในแถบใต้ของอินเดีย เพราะฉะนั้น จึงมีผู้สันนิษฐานว่าท่าน
เป็นชาวอินเดียใต้มากกว่าที่จะเป็นชาวมคธ ท่านปรารภเหตุที่จะเขียน
อรรถกถาแห่งพระอภิธรรม แต่ขาดแคลนตำราค้นคว้า อุปัชฌายะของ
ท่านจึงแนะนำว่า ควรไปเขียนที่ลังกา เพราะมีตำรับตำราสมบูรณ์ แต่
ก่อนหน้าที่ท่านจะไป ท่นได้เขียนคัมภีร์ญาโณทัยปกรณ์ขึ้น ซึ่งเป็น
หนังสือเล่มเดียวของท่านที่ไม่มีต้นฉบับที่เหลืออยู่เลยในปัจจุบัน ขณะที่
ท่านเดินทางมาลังกา ได้สวนทางกับคณาจารย์อีกรูปหนึ่ง คือพระพุทธ-
ทัตตาจารย์ ซึ่งเป็นชาวเมืองกาญจิปุระในอินเดียใต้ และไปลังกาด้วย
วัตถุประสงค์อย่างเดียวกัน แต่ทำงานไม่สำเร็จ พระพุทธทัตตะได้เขียน
ปกรณ์สำคัญในลังกา ชื่อ "อภิธรรมาวตาร" และอรรถกถาส่วนหนึ่งของ
ขุททกนิกาย คำอธิบายพระวินัย ชื่อ "อุตตรวินิจฉัย" แต่งานทั้งหมดนี้
คณะสงฆ์ลังกาไม่สู้นิยมยกย่อง เมื่อพระพุทธโฆษาจารย์ไปถึง ท่าน
ได้พักอยู่ ณ คันถกปริเวณ ในมหาวิหาร คือหอสมุดของวัดนั้นเอง
ขณะนั้นอธิการบดีแห่งมหาวิหาร คือ พระสังฆปาละให้ทดสอบ
ภูมิรู้ของพระพุทธโฆษะ และทิฏฐิของท่าน ก่อนที่จะมอบงานสำคัญให้
พระสังฆปาละ จึงได้ยกบาลีพุทธภาษิตบทหนึ่งให้พระพุทธโฆษะแต่งแก้
และคำแก้กระทู้บทนั้นสำเร็จเป็นปกรณ์ชื่อวิสุทธิมรรคขึ้น หนังสือเล่มนี้
เพียงเล่มเดียว ก็เพียงพอที่จะทำให้ชื่อเสียงของผู้แต่งเป็นอมตะ โดย