1
สภาวธรรมพื้นฐาน ตอน 8
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
ความเบื้องต้น
คำสอนในพระพุทธศาสนา ชั้นเดิมเรียกว่า พระธรรมวินัย ดังที่พระพุทธองค์
ตรัสไว้ว่า "ดูกรอานนท์ ธรรมและวินัยอันใด ที่เราตถาคตได้แสดงไว้แล้ว ได้บัญญัติไว้
แล้ว ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว"
เมื่อกล่าวโดยปิฎก ธรรม ก็ได้แก่คำสอนที่ปรากฏอยู่ในพระสุตตันตปิฎก และ
พระอภิธรรมปิฎก ส่วนวินัยนั้น ได้แก่คำสอนที่ปรากฏอยู่ในพระวินัยปิฎก การศึกษาธรรม
จึงจำต้องศึกษาจากพระสุตตันตปิฎกและพระอภิธรรมปิฎก ท่านผู้รู้ส่วนมากเห็นกันว่า การเรียน
ธรรมนั้น ควรเริ่มต้นด้วยการเรียนพระอภิธรรมก่อน เมื่อมีความรู้ทางพระอภิธรรมดีแล้ว จึง
จะสามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงตามธรรมเทศนาในพระสูตร และสามารถพิจารณาเห็นสาระ
ที่แท้จริงในพระสูตรได้แจ่มแจ้ง
การศึกษาอภิธรรมนี้ หากเริ่มศึกษาจากพระอภิธรรมปิฎกเลยทีเดียว ก็เป็นการ
ก้าวกระโดดเกินไป อาจเกิดความท้อแท้และท้อถอยได้ เพราะพระอภิธรรมนั้นมีความลึกซึ้ง
มากทางที่ดีนั้น เบื้องต้น ควรปูพื้นฐานความรู้โดยศึกษาสภาวธรรมจากหนังสือประเภทคู่มือ
ก่อนเพื่อจะได้ประมวลหัวข้อสภาวธรรม และเข้าใจศัพท์เฉพาะต่างๆ ได้ถูกต้อง จะได้ไม่เกิด
ความยุ่งยากและสับสน
การศึกษาจากหนังสือประเภทคู่มือ ก็ควรศึกษาตามลำดับเล่มและลำดับเรื่อง การ
ศึกษาจึงจะได้ผล หากศึกษาจากหนังสือ สภาวธรรมพื้นฐาน ซึ่งเป็นหนังสือประเภทคู่มือ
ก็ต้องเริ่มศึกษาจากสภาวธรรมพื้นฐานตอน 1 ก่อน แล้วศึกษาในตอน 2 และตอนต่อๆ ไป
ตามลำดับ (ซึ่งมี 9 ตอน) สำหรับสภาวธรรมพื้นฐานตอน 8 นี้ ได้เก็บความและขยายความ
จากอภิธัมมัตถสังคหะปริจเฉทที่ 8 และคัมภีร์อื่นๆ ซึ่งว่าด้วย ปัจจยาการ ต่อจากตอนที่ 7
เฉพาะที่ว่าด้วยปัจจยาการตามปัฏฐานนัย ซึ่งมีข้อควรศึกษษตามลำดับดังต่อไปนี้
2
บทที่ 1
ปัจจยาการ (ต่อ)
ปัฏฐานนัย
ปัจจยาการตามปัฏฐานนัย คือปัจจยาการตามคัมภีร์ปัฏฐาน หรือ ตามหลักความ
สัมพันธ์กันแห่งปัจจัยหรือความสัมพันธ์แห่งสภาวธรรมที่เป็นเหตุผล ซึ่งมีข้อที่ควรศึกษาตาม
ลำดับดังต่อไปนี้
ปัจจัย 24
สภาวธรรมที่ประกอบด้วยกาลทั้ง 3 คือ ที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต อันได้
แก่ จิต เจตสิก และรูปก็ดี ที่เป็นกาลวิมุต คือ ที่พ้นจากการทั้ง 3 นั้น อันได้แก่นิพพาน
ก็ดี หรือสภาวธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่ง (สังขตธรรม) ที่เป็นภายในและภายนอก รวมทั้งสภาว-
ธรรมที่ปัจจัยมิได้ปรุงแต่ง (อสังขตธรรม) ก็ดี หรือธรรม 3 อย่าง คือ บัญญัติธรรม นาม
ธรรม (จิต เจตสิก นิพพาน) และรูปธรรม เหล่านี้ทั้งหมดย่อมมีความสัมพันธ์กันโดยฐาน
เป็นปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดาปัจจัย 24 อย่าง คือ
1. เหตุปจฺจโย ธรรมที่ช่วยอุปการะโดยความเป็นเหตุ
2. อารมฺมณปจฺจโย ธรรมที่ช่วยอุปการะโดยความเป็นอารมณ์
3. อธิปติปจฺจโย ธรรมที่ช่วยอุปการะโดยความเป็นอธิบดี
4. อนนฺตรปจฺจโย ธรรมที่ช่วยอุปการะโดยความต่อเนื่องกันไม่มีระหว่างคั่น
5. สมนนฺตรปจฺจโย ธรรมที่ช่วยอุปการะโดยความติดต่อกันไม่มีระหว่างคั่นที
เดียว
6. สหชาตปจฺจโย ธรรมที่ช่วยอุปการะโดยความเกิดพร้อมกัน
7. อญฺตมญฺตปจฺจโย ธรรมที่ช่วยอุปการะโดยความอาศัยกันและกัน
8. นิสฺสยปจฺจโย ธรรมที่ช่วยอุปการะโดยความเป็นที่อยู่อาศัย
3
9. อุปนิสิสยปจฺจโย ธรรมที่ช่วยอุปการะโดยความเป็นที่อาศัยที่มีกำลังมาก
10. ปุเรชาตปจฺจโย ธรรมที่ช่วยอุปการะโดยความเกิดก่อน
11. ปจฺฉาชาตปจฺจโย ธรรมที่ช่วยอุปการะโดยความเกิดทีหลัง
12. อาเสวนปจฺจโย ธรรมที่ช่วยอุปการะโดยความเสพบ่อยๆ
13. กมฺมปจฺจโย ธรรมที่ช่วยอุปการะโดยความปรุงแต่งให้กิจต่างๆ สำเร็จ
14. วิปากปจฺจโย ธรรมที่ช่วยอุปการะโดยความเป็นวิบาก
15. อาหารปจฺจโย ธรรมที่ช่วยอุปการะโดยความเป็นสิ่งนำมาซึ่งนามและรูป
16. อินฺทฺริยปจฺจโย ธรรมที่ช่วยอุปการะโดยความเป็นสิ่งปกครองนามและรูป
17. ฌานปจฺจโย ธรรมที่ช่วยอุปการะโดยความเป็นสิ่งเพ่งอารมณ์
18. มคิคปจฺจโย ธรรมที่ช่วยอุปการะโดยความเป็นแนวทาง
19. สมปยุตฺตปจิจโย ธรรมที่ช่วยอุปการะโดยความเป็นสิ่งประกอบ
20. วิปฺปยุตฺตปจฺจโย ธรรมที่ช่วยอุปการะโดยความเป็นสิ่งไม่ประกอบ
21. อตฺถิปจฺจโย ธรรมที่ช่วยอุปการะโดยความเป็นสิ่งมีอยู่
22. นตฺถิปจฺจโย ธรรมที่ช่วยอุปการะโดยความเป็นสิ่งไม่มี
23. วิคตปจฺจโย ธรรมที่ช่วยอุปการะโดยความเป็นสิ่งโดยปราศจากไป
24. อวิคตปจฺจโย ธรรมที่ช่วยอุปการะโดยความเป็นสิ่งยังไม่ปราศจากไป
ปัจจัยทั้ง 24 อย่างเหล่านี้ พึงทราบอรรถาธิบายตามแนวแห่งอภิธัมมัตถสังคหะ
โดยลำดับดังต่อไปนี้
1. เหตุปัจจัย
เหตุ แปลว่า เค้ามูล หรือสิ่งที่ทำให้เกิดผล เรื่องที่เกิดขึ้นก่อให้เกิดเหตุขึ้น ซึ่ง
โดยทั่วไปจะหมายความถึงเหตุ 4 อย่าง คือ
1. เหตุเหตุ ได้แก่ เหตุ 6 คือ โลภะ โทสะ โมหะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ
2. ปจฺจยเหตุ ได้แก่ มหาภูตรูป 4 อันเป็นเหตุในการเรียกชื่อของรูปขันธ์
4
3. อุตฺตมเหตุ ได้แก่ กุศลกรรม และอกุศลกรรม อันเป็นเหตุให้เกิดกุศลวิบาก
และอกุลวิบาก
4. สาธารณเหตุ ได้แก่ อวิชชา อันเป็นเหตุให้เกิดสังขารธรรมทั่วทั้งหมด
(ขันธ์ 5)
ในเหตุทั้ง 4 อย่างนี้ เหตุปัจจัย ซึ่งเป็นปัจจัยแรกในปัจจัย 24 นั้น ได้แก่
เหตุเหตุ ซึ่งมี 6 อย่างดังกล่าว
ว่าโดย อาการ เหตุปัจจัยเป็นนาม เป็นปัจจัยธรรม นามรูปเป็นปัจจยุบบันนธรรม
ว่าโดย ชาติ เป็นสหชาตชาติ หมายความว่า ปัจจัยธรรม และปัจจยุบบันนธรรม
นั้นเกิดขึ้นในจิตดวงเดียวกัน
ว่าโดย กาล เป็นกาลปัจจุบัน หมายควาว่า ปัจจัยธรรมนั้นยังอยู่ในระหว่าง
อุปาทะ ฐิติ ภังคะ คือยังไม่ทันดับไป
ว่าโดย สัตติ คือ อำนาจ, เหตุปัจจัยนี้มีทั้ง ชนกสัตติ และอุปถัมภกสัตติ
- ขนาสัตติ อำนาจช่วยอุปการะให้ปัจจยุบบันนธรรมเกิดขึ้นได้
- อุปถัมภกสัตติ อำนาจช่วยอุปการะให้ปัจจยุบบันธรรมตั้งอยู่ได้
ว่าโดย องค์ธรรม องค์ธรรมของปัจจัยธรรม องค์แรกของปัจจยุบบันนธรรม และ
องค์ธรรมปัจจนิกธรรม (ปัจจนิก หมายความว่า ธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ คือ ธรรมฝ่าย
ตรงข้ามกับปัจจยุบบันนธรรม
ปัจจัยธรรม ได้แก่ เหตุ 6 คือ โลกเหตุ โทสเหตุ โมหเหตุ อโลภเหตุ
อโทสเหตุ และอโมหเหตุ
- ปัจจยุปบันนธรรม ได้แก่ สเหตุกจิต 72, เจตสิก 52 (เว้นโมหเจตสิก
ที่ในโมหมุลจิต 2) สเหตุกจิตตชรูป และสเหตุกปฏิสนธิกัมมชรูป
- ปัจจนิกธรรม ได้แก่ อเหตุกจิต 18, อัญญสมานาเจตสิก 12 (เว้นฉันทะ)
โมหเจตสิตที่ในโมหมูลจิต 2, อเหตุกจิตตชรูป, อเหตุกปฏิสนธิกัมชรูป. พาหิรรูป, อาหาร-
ชรูป, อุตุชรูป, อสัญญสัตตกัมมชรูป และปวัตติกัมมชรูป
5
ปัญหาวาระในเหตุปัจจัย
เหตุปัจจัยมี 7 วาระ คือ
1. กุศลเป็นปัจจัยแก่กุศล ได้แก่ อโลภเหตุ อโทสเหตุ อโมหเหตุ อันเป็น
กุศลเหตุนั้นเป็นปัจจัยธรรม กุศลจิต 21 กับเจตสิกที่ประกอบ เป็นสาเหตุปัจจยุบบันนธรรม
2. กุศลเป็นปัจจัยแก่อพยากตะ ได้แก่ อโลภเหตุ อโทสเหตุ อโมหเหตุ
อันเป็นกุศลเหตุ 3 นั้นเป็นเหตุปัจจัย กุศลจิตตชรูป เป็นเหตุปัจจยุบบันนธรรม
3. กุศลเป็นปัจจัยแก่กุศลด้วย แก่อพยากตะด้วย ได้แก่ กุศลเหตุ 3 เป็น
เหตุปัจจัยธรรม กุศลนามขันธ์ 4 ได้แก่ กุศลจิต 21 กับเจตสิกที่ประกอบด้วย และ กุศล
จิตตชรูปด้วย เป็นเหตุปัจจยุบบันนธรรม
4. อกุศลเป็นปัจจัยแก่อกุศล ได้แก่ โลภเหตุ โทสเหตุ โมหเหตุ อันเป็น
อกุศลเหตุ 3 นั้นเป็นเหตุปัจจัยธรรม, อกุศลนามขันธ์ 4 ได้แก่ อกุศลจิต 12 กับ เจตสิก
ที่ประกอบเป็นเหตุปัจจยุบบันนธรรม
5. อกุศลเป็นปัจจัยแก่อพยากตะ ได้แก่ อกุศลเหตุ 3 นั้นเป็นเหตุปัจจัยธรรม,
อกุศลจิตตชรูป เป็นเหตุปัจจยุบบันนธรรม
6. อกุศลเป็นปัจจัยแก่อกุศลด้วย แก่อพยากตะด้วย ได้แก่ อกุศลเหตุ 3
เป็นเหตุปัจจัยธรรม อกุศลนามขันธ์ 4 ด้วย อกุศลจิตตชรูปด้วย เป็นเหตุปัจจยุบบันนธรรม
7. อพยากตะเป็นปัจจัยแก่อพยากตะ ได้แก่ อโลภเหตุ อโทสเหตุ อโมหเหตุ
อันเป็นอพยากตเหตุ 3 เป็นเหตุปัจจัยธรรม, สเหตุกวิบากจิต 21, สเหตุกกิริยาจิต 17
สเหตุกวิบากจิตตชรูป, สเหตุกกิริยาจิตตชรูป, สเหตุกปฏิสนธิกัมมชรูป เป็นเหตุปัจจยุบบันน-
ธรรม (ถ้าเป็นในจตุโวการภูมิปัจจยุปบันนธรรมก็ต้องเว้น รูป)
ปัจจัยที่เกิดร่วมด้วยกันได้ มี 12 ปัจจัย คือ
1. เหตุปัจจัย
2. สหชาตาธิปติปัจจัย
6
3. สหชาตปัจจัย
4. อัญญมัญญปัจจัย
5. สหชาตนิสสยปัจจัย
6. วิปากปัจจัย
7. สหชาตินทริยปัจจัย
8. มัคคปัจจัย
9. สัมปยุตตปัจจัย
10. สหชาตวิปปยุตตปัจจัย
11. สหชาตัตถิปัจจัย
12. สหชาตอวิคตปัจจัย
2. อารัมมณปัจจัย
อารมณ์ หมายถึงอารมณ์ทั้ง 6 อัน ได้แก่ รูปารมณ์ สัททารมณ์ คันธารมณ์
รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ และ ธัมมารมณ์ อารมณ์เหล่านี้เองเป็นอารัมมณปัจจัย
ว่าโดย อาการ บัญญัติ นาม รูป เป็นปัจจัยธรรม, นามเป็นปัจจยุบบันนธรรม
ว่าโดย ชาติ เป็นอารมณชาติ หมายความว่า ปัจจัยธรรมนั้น ได้แก่อารมณ์
นั่นเอง
ว่าโดย กาล เป็นได้ทั้ง อดีต อนาคต ปัจจุบันและกาลวิมุตติ
ว่าโดย สัตติ มีอำนาจทั้ง 2 อย่าง คือ ชนกสัตติ และ อุปถัมภกสัตติ
ว่าโดย องค์ธรรม เป็นดังนี้
- องค์ธรรมของปัจจัยธรรม ได้แก่ อารมณ์ 6 คือ จิต 89, เจตสิก 52,
รูป 28 ที่เป็น ปัจจุบัน อดีต อนาคต และนิพพาน, บัญญัติที่เป็นกาลวิมุตติ
- องค์ธรรมของปัจจยุบบันนธรรม ได้แก่ จิต 89, เจตสิก 52
- องค์ธรรมของปัจจนิกธรรม ได้แก่ รูปทั้งหมด คือ จิตตชรูป, ปฏิสนธิ
กัมมชรูป, พาหิรรูป, อาหารชรูป, อุตุชรูป, อสัญญสัตตกัมมชรูป ปวัตติกัมมชรูป