เมนู

สภาวธรรมพื้นฐาน 5
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส

ความเบื้องต้น

คำสอนในพระพุทธศาสนา ว่าโดยปิฎก แบ่งเป็น 3 อย่าง คือ พระวินัยปิฎก
พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก
คำสอนที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ ทรงบัญญัติไว้โดยอาณาเทศนา คือ ทรงแสดง
ทรงบัยญัติไว้เป็นระเบียบวินัย เป็นข้อบังคับ เป็นแบบแผนให้ปฏิบัติ โดยมีข้อกำหนดโทษ
หรือปรับอาบัติแก่ผู้ล่วงละเมิดไว้เป็นขั้น ๆ ตามควรแก่โทษานุโทษ เรียกว่า พระวินัยปิฎก
ซึ่งเป็นคำสอนที่เน้นในเรื่องศีล เพื่อสอนคนให้มีระเบียบวินัย ให้สังคมมีความสงบสุข
คำสอนที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้โดยโวหารเทศนา คือ ทรงแสดงโดยยักเยื้อง
โวหารเป็นต่าง ๆ ตามความเหมาะสมแก่บุคคล และกาลเทศะ ทรงยกบุคคลขึ้นเป็นตัวอย่าง
ของการดำเนินชีวิตทั้งในทางดี ทางชั่ว ทางถูก ทางผิด เรียกว่า พระสุตตันตปิฎก ซึ่ง
เป็นคำสอนที่เน้นในเรื่องสมาธิ เพื่อสอนคนให้มีอัธยาศัยสงบ มีจิตใจแน่วแน่ มั่นคงในการ
บุญการกุศล
คำสอนที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้โดยปรมัตถเทศนา คือทรงแสดงตามหลัก
สัจจธรรมโดยไม่ยกบุคคลขึ้นเป็นตัวอย่าง ทรงแสดงเฉพาะสัจจธรรมหรือสภาวธรรมล้วน ๆ
เรียกว่า พระอภิธรรมปิฎก ซึ่งเป็นคำสอนที่เน้นในเรื่องปัญญา เพื่อสอนคนให้มีสติปัญญา
รู้แจ้งเห็นจริงในสภาวธรรมทั้งปวง
สัจจธรรมหรือสภาวธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ในพระอภิธรรมปิฎกนั้น แบ่ง
เป็น 2 อย่างคือ

(1) สมมุติสัจจะ จริงโดยสมมุติ
(2) ปรมัตถสัจจะ จริงโดยปรมัตถ์
ความจริงตามสมมุติของโลก ตามที่ชาวโลกยอมรับกัน เช่น สมมุติว่าเป็นกษัตริย์
เป็นพราหมณ์ เป็นตำรวจ เป็นทหาร เป็นข้าราชการ เป็นเกียรติ เป็นยศ เป็นบ้าน
เป็นเรือน เป็นรถ เป็นเรือ เป็นต้น เหล่านี้เรียกว่า สมมุติสัจจะ จริงโดยสมมุติ คือ
จริงที่ไม่จริง เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า บัญญัติธรรม คือสิ่งที่ชาวโลกบัญญัติขึ้น สมมุติขึ้น
ตามโวหารของโลก ตามความยอมรับของโลก
ความจริงโดยปรมัตถ์ คือจริงอย่างแท้จริง หรือจริง ๆ โดยไม่มีความวิปริตแปรผัน
เรียกว่า ปรมัตถสัจจะ จริงโดยปรมัตถ์ คือจริงจริง ๆ ซึ่งเป็นความจริงโดยสภาวะที่แท้จริง
ตามธรรมชาติที่แท้จริง มิได้มีใครบัญญัติหรือแต่งตั้งขึ้น สมมุติขึ้น
สิ่งที่เป็นปรมัตถสัจจะนั้น ท่านแสดงไว้ 2 นัย คือ นัยที่ 1 ได้แก่สภาวธรรม 2
อย่าง คือ เบญจขันธ์และนิพพาน นัยที่ 2 ได้แก่ปรมัตถธรรม 4 อย่าง คือ จิต เจตสิก
รูป และนิพพาน กล่าวโดยสรุป ปรมัตถสัจจะนั้น ได้แก่สภาวธรรม 2 อย่าง คือ รูปธรรม
และนามธรรม
เพื่อให้ผู้ศึกษาได้มีความรู้ความเข้าใจในปรมัตถสัจจะพอเป็นพื้นฐาน จึงได้ลำดับ
หัวข้อสภาวธรรมและให้แนวนศึกษาไว้พอเป็นพื้นฐาน ดังต่อไปนี้.-

บทที่ 1
วิญญาณขันธ์ (จิต)

จิต 4 ประเภท (ทบทวน)
วิญญาณขันธ์ หรือ จิตนั้น ว่าโดยภูมิ แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ
(1) กามาวจรจิต จิตที่เกาะเกี่ยวอยู่ในกาม (กามภพ)
(2) รูปาวจรจิต จิตที่เกาะเกี่ยวอยู่ในรูป (รูปภพ)
(3) อรูปาวจรจิต จิตที่เกี่ยวอยู่ในอรูป (อรูปภพ)
(4) โลกุตตรจิต จิตที่พ้นโลก, จิตที่ไม่เกาะเกี่ยวอยู่ในโลก
กามาวจรจิต 54 ดวง คือ อกุศลจิต 12 ดวง อเหตุกจิต 18 ดวง โสภณจิต
24 ดวง รวม 54 ดวง
- อกุศลจิต 12 ดวง คือ โลภมูลจิต 8 ดวง โทสมูลจิต 2 ดวง โมหมูลจิต
2 ดวง รวม 12 ดวง
โลภมูลจิต 8 ดวง คือ
(1) โสมนสฺสสหคตํ ทิฏฺฐิคตสมฺปยุตฺตํ อสงฺขาริกํ จิตที่เกิดพร้อมกับความดีใจ ประกอบด้วย
มิจฉาทิฏฐิ ไม่มีสิ่งชักจูง
(2) โสมนสฺสสหคตํ ทิฏฺฐิคตสมฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกํ จิตที่เกิดพร้อมกับความดีใจ ประกอบด้วย
มิจฉาทิฏฐิ มีสิ่งชักจูง
(3) โสมนสฺสสหคตํ ทิฏฺ ฐิคตวิปฺปยุตฺตํ อสงฺขาริกํ จิตที่เกิดพร้อมกับความดีใจ ปราศจาก
มิจฉาทิฏฐิ ไม่มีสิ่งชักจูง
(4) โใมนสฺสสหคตํ ทิฏฺฐิคตวิปฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกํ จิตที่เกิดพร้อมกับความดีใจ ปราศจาก
มิจฉาทิฏฐิ มีสิ่งชักจูง


(4) อุเปกฺขาสหคตํ ทิฏฺฐิคตสมฺปยุตฺตํ อสงฺขาริกํ จิตที่เกิดพร้อมกับความเฉย ประกอบด้วย
มิจฉาทิฏฐิ ไม่มีสิ่งชักจูง
(5) อุเปกฺขาสหคตํ ทิฏฺฐิคตสมฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกํ จิตที่เกิดพร้อมกับความเฉย ประกอบด้วย
มิจฉาทิฏฐิ มีสิ่งชักจูง
(6) อุเปกฺขาสหคตํ ทิฏฺฐิคตวิปฺปยุตฺตํ อสงฺขาริกํ จิตที่เกิดพร้อมกับความเฉย ประกอบด้วย
มิจฉาทิฏฐิ มีสิ่งชักจูง
(7) อุเปกฺขาสหคตํ ทิฏฺฐิคตวิปฺปยุตฺตํ อสงฺขาริกํ จิตที่เกิดพร้อมกับความเฉย ปราศจาก
มิจฉาทิฏฐิ ไม่มีสิ่งชักจูง
(8) อุเปกฺขาสหคตํ ทิฏฺฐิคตวิปฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกํ จิตที่เกิดพร้อมกับความเฉย ปราศจากมิจฉาทิฏฐิ
มีสิ่งชักจูง
ข้อสังเกต จิตไม่มีสิ่งชักจูง เรียกว่า อสังขาริก ที่มีสิ่งชักจูง เรียกว่า สสังขาริก
ซึ่งสิ่งชักจูง ในที่นี้ได้แก่สิ่งชักชวน ชักนำ หรือกระตุ้นเตือน (ท่านใช้ศัพท์ว่า สังขาร คือ
สิ่งปรุงแต่ง) ย่อมเป็นได้ทั้ง กายประโยค วจีประโยค และมโนประโยค
กายประโยค หมายถึงการชักจูง ชักชวน ชักนำ หรือกระตุ้นเตือนด้วยกาย เช่น
ชี้มือ กวักมือ พยักหน้า ขยิบตา จูงมือไป การจ้องดู เพ่งดู เป็นต้น อันเป็นการชักจูงเพื่อ
ให้เกิดโลภะ
วจีประโยค หมายถึงการชักจูง ชักชวน ชักนำ หรือกระตุ้นเตือนด้วยวาจา เช่น
พูดชักชวน พูดชักนำ พูดชี้นำ พูดยั่วยุ พูดยกย่อง การพูดเกี้ยว เป็นต้น อันเป็นการชัก
จูงเพื่อให้เกิดโลภะ
มโนประโยค หมายถึงการชักจูง การชักชวน ชักนำด้วยใจ อันได้แก่การนึกคิด
ทางใจก่อน ไตร่ตรองไว้ก่อน เช่น คิดถึงเรื่องสนุกสนาน เรื่องที่ยั่งยุราคะ เรื่องที่น่าเพลิด-
เพลิน เป็นต้น อันเป็นชนวนให้เกิดโลภะ
โลภมูลจิตที่เกิดขึ้นด้วยอาศัยสิ่งชักจูงของตนเอง ย่อมมีได้ทั้งกายประโยชน์ วจีประโยค
และมโนประโยค แต่ที่เกิดขึ้นอาศัยสิ่งชักจูงของคนอื่น ก็มีได้เพียงกายประโยค และ
วจีประโยคเท่านั้น

เหตุเกิดโลภมูลจิต เหตุที่ทำให้เกิดโลภมูลจิต นั้นมี 4 ประการ คือ
(1) โลภปริวารกมฺมปฏิสนฺธิกตา ปฏิสนธิมาด้วยกรรมที่มีโลภะเป็นบริวาร หรือ
ปฏิสนธิมาด้วยสิ่งแวดล้อมที่ยั่วโลภะ
(2) โลภอุสฺสนภวโต จวนตา จุติมาจากภพที่มีโลภะมาก
(3) อิฏฺฐารมฺมณสมาโยโค ได้ประจวบกับอารมณ์ที่ปรารถนา
(4) อสฺสาททสฺสนํ ได้เห็นสิ่งที่ชอบใจ
- โทสมูลจิต 2 ดวง คือ
(1) โทมนสฺสสหคตํ ปฏิฆสมฺปยุตฺตํ อสงฺขาริกํ จิตที่เกิดพร้อมกับความเสียใจ ประกอบด้วย
ปฏิฆะ ไม่มีสิ่งชักจูง
(2) โทมนสฺสสหคตํ ปฏิฆสมฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกํ จิตที่เกิดพร้อมกับความเสียใจ ประกอบด้วย
ปฏิฆะ มีสิ่งชักจูง
ข้อสังเกต สิ่งชักจูง ในโทสมูลจิต ก็เป็นได้ทั้งกายประโยค วจีประโยค และ
มโนประโยค ทำนองเดียวกับในโลภมูลจิต
เหตุเกิดโทสมูลจิต เหตุที่ทำให้เกิดโทสมูลจิตนั้น มี 5 ประการ คือ
(1) โทสชฺฌาสยตา มีอัธยาศัยเป็นคนมักโกรธ
(2) อคมฺภีรปกติตา มีความคิดไม่ลึกซึ้ง, ไม่สุขุม
(3) อปฺปสุตฺตา มีการศึกษาน้อย
(4) อนิฏฺฐารมฺมณสมาโยโค ได้ประจวบกับอารมณ์ที่ไม่ปรารถนา
(5) อาฆาตวตฺถุสมาโยโค ได้ประจวบกับอาฆาตวัตถุ 10
หมายเหตุ อาฆาตวัตถุ คือเหตุผูกอาฆาตพยาบาท มี 10 อย่าง คือ
(1) ผูกใจเจ็บว่า เขาได้ทำความพินาศแก่เรา
(2) ผูกใจเจ็บว่า่ เขากำลังทำความพินาศแก่เรา
(3) ผูกใจเจ็บว่า เขาจักทำความพินาศแก่เรา
(4) ผูกใจเจ็บว่า เขาได้ทำความพินาศแก่คนที่เรารักเราชอบ

(5) ผูกใจเจ็บว่า เขากำลังทำความพินาศแก่คนที่เรารักเราชอบ
(6) ผูกใจเจ็บว่า เขาจักทำความพินาศแก่คนที่เรารักเราชอบ
(7) ผูกใจเจ็บว่า เขาได้ทำประโยชน์แก่คนที่เราเกลียดชัง
(8) ผูกใจเจ็บว่า เขากำลังทำประโยชน์แก่คนที่เราเกลียดชัง
(9) ผูกใจเจ็บว่า เขาจักทำประโยชน์แก่คนที่เราเกลียดชัง
(10) เกิดความโกรธในฐานอันไม่ควร เช่น คิดอะไรไม่ออก นึกชื่อใครไม่ได้ ทักใครผิด
ก็โกรธ เป็นต้น
โมหมูลจิต 2 ดวง คือ
(1) อุเปกฺขาสหคตํ วิจิกิจฺฉาสมฺปยุตฺตํ จิตที่เกิดรพร้อมกับความเฉย ประกอบด้วยความลังเลใจ
(2) อุเปกฺขาสหคตํ อุทฺธจฺจสมฺปยุตฺตํ จิตที่เกิดพร้อมกับความเฉย ประกอบด้วยความฟุ้งซ่าน
ข้อสังเกต โมหมูลจิตนี้ ไม่เป็นทั้ง อสังขาริก และสสังขาริก เพราะไม่มีความ
กล้าแข็งเองโดยสภาวะ และไม่มีภาวะที่จะกระตุ้นให้กล้าแข็งขึ้นได้
ความลังเลใจ หรือความสงสัย (วิจิกิจฉา) ในที่นี้หมายเอาเฉพาะความลังเลใจ หรือ
ความสงสัย 8 ประการที่กล่าวต่อไปนี้เท่านั้น คือ
(1) สงสัยในพระพุทธเจ้า ได้แก่สงสัยว่า พระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ พระองค์ได้
ตรัสรู้จริงหรือไฉน
(2) สงสัยในพระธรรม ได้แก่ สงสัยว่า มรรค ผล นิพพาน มีจริงหรือไม่ พระธรรม
วิเศษจริง นำผู้ปฏิบัติให้พ้นทุกข์ได้จริงหรือไฉน
(3) สงสัยในพระสงฆ์ ได้แก่ สงสัยว่า พระสงฆ์ผู้บรรลุมรรค ผล นิพพาน
หรือพระอริยสงฆ์นั้น มีจริงหรือ พระสงฆ์เป็นบุญเขตจริงหรือไฉน
(4) สงสัยในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ว่า ไตรสิกขานั้น มีจริงหรือ และ
ไตรสิกขานั้นจะอำนวยผลดีแก่ผู้ปฏิบัติหรือไฉน