เมนู

สภาวธรรมพื้นฐาน 4
นโม ตสส ภควโต อรหโต สมมาสมพุทธสส

ความเบื้องต้น
คำสอนในพระพุทธศาสนา ชั้นเดิมเรียกว่า
พระธรรมวินัย
ดังที่พระพุทธองค์ตรัส
ไว้ว่า "ดูกรอานนท์
ธรรมและวินัย
อันใด ที่เราตลาคตไว้แสดงไว้แล้ว ได้บัญญัติไว้แล้ว
ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย เมื่อเราตลาคตล่วงลับไปแล้ว"
เมื่อว่าโดยปิฎก ธรรมก็ได้แก่คำสอนที่ปรากฏอยู่ในพระสุตตันตปิฎกและพระอภิธรรม
ปิฎก ส่วนวินัยนั้นได้แก่คำสอนที่อยู่ในพระวินัยปิฎก การศึกษาธรรมจึงจำต้องศึกษาจาก
พระสุตตันตปิฎกและพระอภิธรรมปิฎก ท่านผู้รู้ส่วนมากเห็นกันว่า การเรียนธรรมนั้น ควร
เริ่มต้นด้วยการเรียนพระอภิธรรมก่อน เมื่อมีความรู้ทางอภิธรรมดีแล้ว จึงจะสามารถเข้าใจ
ความหมายที่แท้จริงตามธรรมเทศนาในพระสูตร และสามารถพิจารณาเห็นสาระที่แท้จริงใน
พระสูตรได้แจ่มแจ้ง
การศึกษาอภิธรรมนั้น หากเริ่มศึกษาจากพระอภิธรรมปิฎกเลยทีเดียว ก็เป็นการก้าว
กระโดดเกินไป อาจเกิดความท้อแท้และท้อถอยได้ เพราะอภิธรรมนั้นมีความลึกซึ้งมาก
ทางที่ดีนั้น เบื้องต้นควรปูพื้นฐานความรู้ โดยศึกษาสภาวธรรมจากหนังสือประเภทคู่มือก่อน
เพื่อจะได้รู้ประมวลหัวข้อสภาวธรรม และเข้าใจศัพท์เฉพาะต่างๆ ได้ถูกต้อง จะได้ไม่เกิด
ความยุ่งยากและสับสน
การศึกษาจากหนังสือประเภทคู่มือ ก็ควรศึกษาตามลำดับเล่มและลำดับเรื่อง การศึกษา
จึงจะได้ผล หากศึกษาจากหนังสือ
สภาวธรรมพื้นฐาน
ซึ่งเป็นหนังสือประเภทคู่มือ ก็ต้อง
เริ่มศึกษาจากสภาวธรรมพื้นฐาน เล่ม 1 ก่อนแล้วศึกษาในเล่ม 2 และเล่มต่อ ๆ ไป ตามลำดับ
สำหรับสภาวธรรมพื้นฐานเล่ม 4 นี้ ได้เก็บความและขยายความจากอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉทที่
4 อันมีหัวข้อเรื่องที่ควรศึกษาตามลำดับดังต่อไปนี้.

สภาวธรรมพื้นฐาน 4
บทที่ 1
วิถีจิต
จิตที่รับอารมณ์ทางทวาร 6 เรียกว่า จิตขึ้นสู่วิถี ดังนั้นวิถีจิตจึงได้แก่กระแสจิตหรือ
ความเป็นไปของจิตตามลำดับที่เกิดก่อนและหลัง ในเมื่อประสบกับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง
เมือได้ศึกษา วิถีจิต เข้าใจโดยละเอียดถี่ถ้วนแล้ว จะทำให้การศึกษาพระอภิธรรม
บรรลุผลตามความมุ่งหมาย คือจะเข้าใจได้ซาบซึ้งยิ่งขึ้น ดังที่ท่านโบราณาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า
ผู้มีความเชี่ยวชาญ ในพระวินัย ก็เพราะแตกฉานใน อุโบสถ
ผู้มีความเชี่ยวชาญ ในพระสูตร ก็เพราะแตกฉานใน ศัพทศาสตร์ (ไวยากรณ์)
ผู้มีความเชี่ยวชาญ ในพระอภิธรรม ก็เพราะแตกฉานใน วิถี

ท่านพระอนุรุทธาจารย์ ผู้รจนาพระอภิธัมมัตถสังคหะ ได้วางแนวการศึกษาเรื่องวิถีจิตไว้
อย่างเหมาะสม โดยให้เริ่มศึกษาจาก
ปวัตติ
คือความเป็นไปของจิตและเจตสิก ทั้งในปวัตติกาล
และปฏิสนธิกาล โดยได้แสดงความเป็นไปของจิตและเจตสิกตามลำดับที่เกิดก่อนและหลัง
พร้อมด้วยประเภทแห่งภูมิและบุคคล โดยย่อตามสมควรแก่ความบังเกิดขึ้นของจิต
ปวัตติ

ปวัตติ หมายความว่า ความเป็นอยู่หรือความเป็นไปของจิตและเจตสิก จำแนกได้
เป็น 2 คือ ความเป็นอยู่หรือความเป็นไปของจิตและเจตสิก ในปฏิสนธิกาล 1 ใน
ปวัตติกาล 1
ความเป็นอยู่และความเป็นไปของจิตและเจตสิกใน ปฏิสนธิกาล นั้นเป็นวิถีมุตตจิต
เป็นจิตที่พ้นวิถี เป็นที่ไม่อยู่ในวิถี เป็นจิตที่ไม่ใช่วิถี จึงจะยังไม่กล่าวไว้ในตอนนี้ จะได้กล่าวถึง
ในโอกาสข้างหน้า
ความเป็นอยู่หรือความเป็นไปของจิตและเจตสิกใน ปวัตติกาลนั้นเป็นเรื่อง วิถีจิต
ในการศึกษาเรื่องนี้ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับสภาวธรรมที่เกี่ยวเนื่องกัน 6 หมวด ดังนี้


03
ฉักกะ 6
ธรรมเกี่ยวเนื่องกัน 6 หมวด แต่ละหมวดก็จำแนกได้เป็น 6 อย่าง จึงเรียก ฉักกะ
รวม 6 หมวด ก็เป็น 6 ฉักกะ ได้แก่
1. วัตถุฉักกะ หมวดวัตถุ 6 ได้แก่ ที่ที่จิตและเจตสิกอาศัยเกิด 6 แห่ง
2. ทวารฉักกะ หมวดทวาร 6 ได้แก่ ทางที่จิตและเจตสิกรับอารมณ์ 6 ทาง
3. อารัมมณฉักกะ หมวดอารมณ์ 6 ได้แก่ สิ่งที่จิตและเจตสิกรู้ 6 สิ่ง
4. วิญญาณฉักกะ หมวดวิญญาณ 6 ได้แก่ จิตที่รับรู้ หรือตัวรู้ 6 ประเภท
5. วิถีฉักกะ หมวดวิถี 6 ได้แก่ ความเป็นไปของจิต 6 กระแส
6. วิสยัปปวัตติฉักกะ หมวดวิสยัปปวัตติ ได้แก่ จิตที่เป็นไปในอารมณ์มี 6 อย่าง

หมวดที่ 1
วัตถุ 6 ได้แก่ จักขุวัตถุ โสตวัตถุ ฆานวัตถุ ชิวหาวัตถุ กายวัตถุ
และหัทยวัตถุ

หมวดที่ 2
ทวาร 6 ได้แก่ จักขุทวาร โสตทวาร ฆานทวาร ชิวหาทวาร
กายทวาร และมโนทวาร

หมวดที่ 3
อารมณ์ 6 ได้แก่ รูปารมณ์ สัททารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์
โผฏฐัพพารมณ์ และธัมมารมณ์

หมวดที่ 4
วิญญาณ 6 ได้แก่ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ
ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ และมโนวิญญาณ
สภาวธรรมใน 4 หมวดนี้ได้กล่าวมาแล้วในสภาวธรรมพื้นฐาน เล่ม 1 - 2 ซึ่งศึกษา
ได้ศึกษามาพอเป็นพื้นฐาน

หมวดที่ 5
วิถี 6 ความเป็นไปของจิต 6 กระแสหรือ 6 สาย หรือ 6 ทาง
หมายถึงความเป็นไปของจิตในทวานทั้ง 6 จึงเเบ่งออกเป็น 6 วิถี คือ
1. จักขุทวารวิถี กระแสจิตที่เกิดทางจักขุทวาร
2. โสตทวารวิถี " โสตทวาร
3. ฆานทวารวิถี " ฆานทวาร






04
4. ชิวหาทวารวิถี กระแสจิตที่เกิดทาง ชิวหาทวาร
5. กายทวารวิถี " กายทวาร
6. มโนทวารวิถี " มโนทวาร
หมวดที่ 6 วิสยัปปวัตติ 6 วิสย แปลว่า อารมณ์ ปวัตติ แปลว่า ความเป็นไป,
วิสยัปปวัตติ จึงหมายถึง ความเป็นไปของจิตและเจตสิกในอารมณ์หนึ่งๆ วิสยัปปวัตติ
แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ วิสยัปปวัตติทาง ปัญจทวาร (จักขุทวาร ถึง การทวาร) และมโนทวาร
1. วิสยัปปวัตติ ทางปัญจทวาร มี 4 ได้แก่
(1) อติมหันตารมณ์
(2) มหันตารมณ์
(3) ปริตตารมณ์
(4) อติปริตตารมณ์
2. วิสยัปปวัตติ ทางมโนทวาร มี 2 ได้แก่
(1) วิภูตารมณ์
(2) อวิภูตารมณ์
ข้อควรสังเกต
วิสยัปปวัตติ ในปฏิสนธิกาล มีเพียง 3 คือ กรรมอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์
และคตินิมิตอารมณ์ เป็นอารมณ์ที่ได้มาจากอดีตชาติเมื่อจะตาย จึงไม่เกี่ยวเนื่องกับ
วิสยัปปวัตติ 6 นี้
ปฏิสนธิจิต มีอารมณ์เก่า ไม่ได้รับอารมณ์ใหม่ ด้วยเป็นจิตที่พ้นทวาร (ทวารวิมุตตจิต)
และเป็นจิตที่ไม่ใช่วิถีหรือพ้นวิถี (วิถีมุตตจิต) จึงไม่เกี่ยวเนื่องกับวิสยัปปวัตติ 6 นี้
แม้ ภวังคจิต และจุติจิต ในภพเดียวชาติเดียวกับปฏิสนธิจิตนั้น ก็เป็นจิตดวงเดียว
กัน มีอารมณ์อย่างเดียวกันกับปฎิสนธิจิต ก็เป็นทวารวิมุตตจิต วิถีมุตตจิตเหมือนกัน จึงไม่
เกี่ยวเนื่องกับวิสยัปปวัตติ 6 นี้
ความแตกต่างระหว่างวิถีฉักกะกับวิสยัปปวัตติฉักกะ
วิถีฉักกะกับวิสยัปปวัตติฉักกะนั้น มีความแตกต่างกัน จะพึงเห็นได้ดังต่อไปนี้



05

วิถีฉักกะ หมวดวิถี 6 แสดงถึงความเป็นไปของจิตที่เกี่ยวเนื่องกับทวาร 6 กล่าวคือ
วิถีจิตที่เกิดทางทวาร 6
ส่วน วิสยัปปวัตติ คือความเป็นไปของอารมณ์ 6 นั้นแสดงถึงความเป็นไปของอารมณ์
ทั้ง 6 นั้นว่า มีความชัดเจนแจ่มแจ้งเพียงใด
เมื่อรวมกล่าวทั้งวิถีและวิสยัปปวัตติไปด้วยกัน ก็เป็นการแสดงให้ทราบว่า วิถีจิตนั้น
เกิดทางทวารไหน และมีอารมณ์ชัดเพียงใดด้วยดังนี้
จักขุทวารวิถี ที่เป็นอติมหันตารมณ์ ก็เรียกว่า จักขุทวาร
อติมหันตารมณ์วิถี
" " " มหันตารมณ์ " จักขุทวาร
มหันตารมณ์วิถี
" " " ปริตตารมณ์ " จักขุทวาร
ปริตตารมณ์วิถี
" " " อติปริตตารมณ์ " จักขุทวาร
อติปริตตารมณ์วิถี
แม้ทางโสตทวารวิถี ฆานทวารวิถี ชิวหาทวารวิถี และกายทวารวิถี ก็เป็นไปอย่าง
เดียวกันนี้
ส่วนทางมโนทวาร ก็คงเรียก วิภูตารมณ์วิถี หรืออวิภูตารมณ์วิถี เท่านั้น เพราะ
ทั้ง 2 ชื่อนี้ย่อมต้องเกิดทางมโนทวารทางเดียว จะเกิดทางทวารอื่นหาได้ไม่.


บทที่ 2
วิสยัปปวัตติ

1. วิสยัปปวัตติทางปัญจทวารมี 4 คือ

(1) อติมหันตารมณ์
คืออารมณ์ที่ชัดเจนอย่างยิ่ง ได้แก่อารมณ์ที่มีขณะจิตเกิดได้
มากที่สุด ด้วยมีความสมบูรณ์ดังนี้

ก. วัตถุ
จักขุวัตถุที่มีหน้าที่รับรูปารมณ์นั้น จะต้องเป็นจักขุปสาทที่ดี ไม่พิการแม้
แต่เล็กน้อยเลย มีความใส คือมีความสามารถรับรูปารมณ์ได้เป็นอย่างดี

ข. อารมณ์
รูปารมณ์นั้นต้องชัดและเด่น ตั้งอยู่ไม่ไกลเกินไปหรือผ่านไปไม่เร็วนัก
รูปารมณ์นั้นต้องอยู่ในที่ที่แสงสว่างพอที่จักขุปสาทจะรับได้ชัดเจน
เมื่อจักขุวัตถุได้รับรูปารมณ์ชัดเจนแจ่มแจ้งเช่นนั้น จึงทำให้ขณะจิตเกิดได้มากที่สุด
อารมณ์ปรากฎแจ่มชัดที่สุด
แม้ทางหูได้ยินเสียง ทางจมูกได้กลิ่น ทางลิ้นได้รส ทางกายได้รับการสัมพัทธ์ถูกต้อง
ก็มีนัยเดียวกันนี้
อารมณ์ที่มีขณะจิตเกิดได้มากที่สุดที่ชื่อว่า อติมหันตารมณ์นี้ มีจิตุปปาทะ คือจิตที่
เกิดขึ้นในวิถี 14 ขณะ ทั้งนี้ไม่นับภวังคจิต 3 ขณะ ซึ่งไม่ใช่จิตในวิถีด้วยและมีวิถีถึงจิตถึง 7
(ดูแผนที่ด้วย)

(2) มหันตารมณ์
คือ อารมณ์ที่ชัดเจนมากพอประมาณ ได้แก่อารมณ์ที่มีขณะจิต
เกิดได้พอประมาณ ไม่เด่นชัดหรือแจ่มแจ้งเท่ามหันตารมณ์ ทั้งนี้เพราะวัตถุของอารมณ์
อย่างใดอย่างหนึ่งบกพร่องไปเล็กน้อย ไม่สมบูรณ์พร้อมทั่งถ้วนอย่างอติมหันตารมณ์
อารมณ์ที่มีขณะจิตเกิดได้มากพอประมาณที่ชื่อว่า มหันตารมณ์นี้ มีจิตตุปปาทะเพียง
12 ขณะ ทั้งนี้ไม่นับภวังคจิตรวมด้วยเช่นเดียวกัน และมีวิถีจิตเพียง 6 (ดูแผนภูมิด้วย)