สภาวธรรมพื้นฐาน ตอน 3
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
ความเบื้องต้น
คำสอนในพระพุทธศาสนา ชั้นเดิมเรียกว่า พระธรรมวินัย ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้
ว่า "ดูกรอานนท์ ธรรมและวินัย อันใดที่เราตถาคตได้แสดงไว้แล้ว ได้บัญญัติไว้แล้วธรรมวินัย
นั้น จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย เมื่อเราตถาคตล่วงลับไปแล้ว"
เมื่อว่าโดยปิฎก ธรรมก็ได้แก่คำสอนที่ปรากฏอยู่ในพระสุตตันตปิฎก และพระ-
อภิธรรมปิฎก ส่วนวินัยนั้นได้แก่คำสอนที่ปรากฏอยู่ในพระวินัยปิฏก ดังนั้น การศึกษาธรรม
จึงจำต้องศึกษาจากพระสุตตันตปิฎกและพระอภิธรรมปิฎก ท่านผู้รู้ส่วนมากเห็นกันว่า การ
ศึกษาการเรียนธรรมนั้น ควรเริ่มต้นด้วยการเรียนพระอภิธรรมก่อน เมื่อมีความรู้ทาง
พระอภิธรรมดีแล้ว จึงจะสามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงตามธรรมเทศนาในพระสูตร และ
สามารถพิจารณาเห็นสาระที่แท้จริงในพระสูตรได้แจ่มแจ้ง
การศึกษาอภิธรรมนั้น หากเริ่มศึกษาจากพระอภิธรรมปิฎกเลยทีเดียว ก็เป็นการ
ก้าวกระโดดเกินไป อาจเกิดความท้อแท้และท้อถอยได้ เพราะอภิธรรมนั้นมีความลึกซึ้งมาก
ทางที่ดีนั้น เบื้องต้นควรปูพื้นฐานความรู้ โดยศึกษาสภาวธรรม จากหนังสือประเภทคู่มือก่อน
เพื่อจะได้รู้ประมวลหัวข้อธรรมและเข้าใจศัพท์เฉพาะต่าง ๆ ได้ถูกต้อง จะได้ไม่เกิดความยุ่ง
ยากและสับสน.
การศึกษาจากหนังสือประเภทคู่มือ ก็ควรศึกษาตามลำดับเล่มและลำดับเรื่อง การ
ศึกษาจึงจะได้ผล หากศึกษาจากหนังสือ สภาวธรรมพื้นฐาน ซึ่งเป็นหนังสือประเภทคู่มือ
ก็ต้องเริ่มศึกษาจากสภาวธรรมพื้นฐาน เล่ม 1 ก่อน แล้วศึกษาในเล่ม 2 และเล่นต่อ ๆ ไป
ตามลำดับ สำหรับสภาวธรรมพื้นฐานเล่ม 3 นี้ ได้เก็บความและขยายความจากอภิธัมมัตถสัง-
คหะ ปริจเฉทที่ 5 อันมีหัวข้อเรื่องที่ควรศึกษาตามลำดับ ดังต่อไปนี้
สภาวธรรมพื้นฐาน ตอน 3
บทเริ่มต้น
จิต 2 ประเภท
ผู้ศึกษาได้ทราบแล้วว่าจิตนั้นมีจำนวนโดยย่อ 89 ดวง (โดยพิสดารมี 121 ดวง)
จิตทั้งหมดนี้ เมื่อแบ่งออกโดยสังเขปอีกนัยหนึ่ง คงมี 2 ประเภทด้วยกัน คือ
(1) วิถีจิต จิตในวิถี
(2) วิถีมุตตจิต จิตพ้นวิถี
- จิตในวิถี หมายถึงจิตที่ขึ้นสู่วิถี มีจำนวน 80 ดวง (ในจิต 89 ดวง) คือ
- อกุศลจิต 12 ดวง
- อเหตุกจิต 16 ดวง (เว้นอุเปกขาสันตีรณจิต 2 ดวง)
- มหากุศลจิต 8 ดวง
- มหากิริยจจิต 8 ดวง
- มหัคคตกุศลจิต 8 ดวง
- มหัคคตกิริยาจิต 9 ดวง
- โลกุตรจิต 8 ดวง
รวม 70 ดวงนี้เป็นจิตในวิถีที่แน่นอน คือ ต้องเกิดในวิถีขึ้นสู่วิถีเสมอไป นอกจากนี้
ยังมีจิตในวิถีที่ไม่แน่นอน คือ บางทีก็อยู่ในวิถี บางทีก็พ้นวิถี มีจำนวน 10 ดวง คือ
- อุเปกขาสันตีรณจิต 2 ดวง
- มหาวิบากจิต 8 ดวง
รวมเป็นจิตในวิถี ทั้งที่แน่นอนและไม่แน่นอนจำนวน 80 ดวง ซึ่งจิตในวิถีทั้ง 80
ดวงนี้ เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก จะยังไม่นำมาศึกษาในตอนนี้ จะนำมาศึกษาในตอนต่อไป คือ
ใน สภาวธรรมพื้นฐาน 4 ในเล่ม 3 เล่มนี้ จะนำมาศึกษาเฉพาะจิตพ้นวิถี
จิตพ้นวิถี หมายถึงจิตที่ไม่ขึ้นสู่วิถีมีจำนวน 19 ดวง โดยแบ่ง 2 ชนิด คือ
ชนิดพ้นวิถีแน่นอน และชนิดพ้นวิถีไม่แน่นอนดังต่อไปนี้
ชนิดพ้นวิถีแน่นอนมี 9 ดวง ได้แก่มหัคคตวิบากจิต 9 ดวง
ชนิดพ้นวิถีไม่แน่นอนมี 10 ดวง ได้แก่อุเปกขาสันตีรณจิต 2 ดวง และมหาวิบาก-
จิต 8 ดวง
รวมเป็นจิตพื้นวิถี ทั้งที่แน่นอนและไม่แน่นอนจำนวน 19 ดวง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง จิต 89 ดวงนั้น แบ่งเป็น จิตที่แน่นอน จำนวน 79 ดวง
เป็นจิตที่ไม่แน่นอน 10 ดวง กล่าวคือจิตที่แน่นอนนั้นหมายถึงจิตที่มีลักษณะแน่นอน คือ
เป็นจิตในวิถี ก็อยู่ในวิถีแน่นอน เป็นจิตพ้นวิถี ก็พ้นวิถีอยู่ตลอดไป ส่วนจิตที่ไม่แน่นอน
นั้น หมายถึงจิตที่มีลักษณะไม่แน่นอน บางครั้งเป็นจิตในวิถี แต่บางทีเป็นจิตพ้นวิถี
ในการศึกษาเรื่องจิตพ้นวิถีนั้น จะต้องศึกษาธรรม 4 หมวดควบคู่กันไปด้วย ซึ่ง
ธรรม 4 หมวดนั้น แต่ละหมวดจำแนกออกเป็นหมวดละ 4 จึงเรียกว่า จตุกกะ 4 อันได้แก่
1. ภูมิจตุกกะ หมวดว่าด้วยภูมิ 4
2. ปฏิสนธิจตุกกะ หมวดว่าด้วยปฏิสนธิ 4
3. กัมมจตุกกะ หมวดว่าด้วยกรรม 4
4. มรณจตุกกะ หมวดว่าด้วยมรณุปปัตติ 4
ในการศึกษาจตุกกะทั้ง 4 นี้ ควรศึกษาจตุกกะที่ 3 คือ กัมมจตุกกะก่อน เพราะ
พระพุทธศาสนาสอนว่า ชีวิตทุกชีวิตย่อมเป็นไปตามกรรม ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
"สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม, กรรมย่อมจำแนกสรรพสัตว์ ให้เลวบ้างประณีตบ้าง"
การที่สัตว์จะไปเกิดในภูมิ 4 ปฏิสนธิ 4 และมรณะด้วยอาการอย่างไร ย่อมเป็นไปตามกฏ
แห่งกรรมทั้งสิ้น ดังนั้น กรรมจึงเป็นเรื่องควรศึกษาเพื่อทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ก่อนที่จะ
ได้ศึกษา จตุกกะอื่น ๆ คือ ภูมิจตุกกะ ปฏิสนธิจตุกกะ และมรณจตุกกะ
บทที่ 1
กัมมจตุกกะ
หมวดว่าด้วยกรรม 4
คำว่า กรรม แปลว่า การกระทำ ได้แก่ เจตนาในการประกอบกรรมดังที่พระ-
พุทธองค์ตรัสไว้ว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตกล่าวเจตนานั้นแลเป็นตัวกรรม เพราะ
บุคคลมีเจตนาแล้วจึงทำกรรม ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ"
ความหมายว่า เจตนา คือความตั้งใจกระทำที่เกี่ยวด้วย กาย วาจา ใจ ทั้งทางดี
และทางชั่ว นั่นแหละเป็นตัวกรรม และเจตนาที่เป็นกรรม ก็หมายเฉพาะแต่กรรมในวัฏฏะ
อันได้แก่เจตนาในอกุศลจิต 12 และในโลกียกุศลจิต 17 รวมเจตนา 29 จัดเป็นกรรม
29 เท่านั้นเอง เว้นเจตนาในโลกุตตรกุศล 4 คือเจตนาในมัคคจิต 4
ที่เว้นเช่นนั้น ก็เพราะเจตนาในมัคคกรรม 4 เป็นกรรมที่ตัดวัฏฏะ ตัดความเวียน
ว่ายตายเกิด จึงเหลือเจตนาที่เป็นตัวกรรมในวัฏฏะอันทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดเพียง 29
เท่านั้น
ส่วนเจตนาในวิบากจิต 36 ก็จัดเป็นกรรมไม่ได้ เพราะเจตนาในวิบากจิตนั้น
เป็นผลของกรรม ไม่ใช่ตัวกรรม และเจตนาในกิริยาจิต 20 ก็ไม่จัดเป็นกรรม เพราะ
เจตนาในกิริยาจิตนั้นเป็นจิตที่สักแต่ว่ากระทำไม่เป็นบุญเป็นบาป จึงไม่อาจก่อให้เกิดผลอย่างใด
ขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงไม่จัดเป็นกรรม
กัมมจตุกกะ คือหมวดว่าด้วยกรรม 4 นั้น ได้แก่กรรมใน 4 หมวด คือ
1. ชนกาทิกิจจ ว่าด้วยกิจของกรรม มีชนกกรรมเป็นต้น
2. ปากทาน ว่าด้วยลำดับการให้ผลของกรรม
3. ปาลกาล ว่าด้วยกำหนดเวลาให้ผลของกรรม
4. ปากฐาน ว่าด้วยฐานที่ให้เกิดผลของกรรม
ข้อสังเกต
ชนกาทิกิจจ ปากทาน และปากกาล รวม 3 จำพวกนี้ เป็นการแสดงตาม
นัยพระสุตตันตปิฎก อันเป็นการแสดงว่าโดยส่วนมากเป็นไปอย่างนั้น ไม่จำกัดลงไปแน่นอน
ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นเสมอไป ในพระสูตรจึงมีการแสดงกรรมไว้เพียง 12 ชนิด คือกรรมใน
หมวดที่ 1-2-3 หมวดละ 4 จึงรวมเป็น 12 ส่วนจำพวกที่ 4 คือ ปากฐาน เป็นการ
แสดงตามอภิธัมมนัยคือตามนัยแห่งพระอภิธรรมอันเป็นการแสดงว่าจะต้องเป็นไปตามหลักนั้น ๆ
เสมอไปอย่างแน่นอน ดังนั้นในอภิธรรมจึงมีการจำแนกกรรมเป็น 16 อย่าง โดยแบ่งกรรม
เป็น 4 หมวด หมวดละ 4 จึงรวมเป็นกรรม 16 ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. ชนกาทิกิจจ
กรรมนั้นเมื่อว่าโดยกิจหรือหน้าที่ของกรรมที่จะต้องกระทำอันเรียกว่า ชนกาทิกิจจ
นั้นก็มี 4 อย่าง คือ
(1) ชนกกรรม กรรมที่ทำให้เกิด
(2) อุปถัมภกกรรม กรรมอุดหนุน หรือส่งเสริม
(3) อุปปีฬกกรรม กรรมที่เบียดเบียน
(4) อุปฆาตกรรม กรรมที่ตัดรอน
พึงทราบอธิบายโดยสังเขปดังต่อไปนี้
- ชนกกรรม กรรมที่ทำให้เกิด เป็นกรรมที่มีหน้าที่ทำให้เกิดซึ่งวิบากจิตและ
กัมมชรูปทั้งในปฏิสนธิกาลและปวัตติกาล กล่าวคือ
ก. ทำให้เกิดวิบากจิตและกัมมชรูปในปฏิสนธิกาล ได้แก่ทำให้เกิดเป็นสัตว์
ดิรัจฉาน เป็นมนุษย์ เป็นเทวดาเป็นต้น ชนกกรรมที่นำปฏิสนธินี้ส่วนมากต้องเป็นกรรมที่
ครบองค์ กล่าวคือ ถ้าเป็นอกุศลกรรมก็ต้องครบองค์แห่งกัมมบถ ถ้าเป็นกุศลกรรมก็ต้อง
ครบองค์ของเจตนา
ข. ทำให้เกิดวิบากจิตและกัมมชรูปในปวัตติกาล ได้แก่ทำให้เกิด ตา หู จมูก
และอวัยวะน้อยใหญ่ ตลอดจนการได้เห็น การได้ยินเป็นต้น กรรมที่นำให้เกิดในปวัตติกาลนี้
จะเป็นกรรมที่ครบองค์แห่งกัมมบถหรือไม่ก็ตาม ย่อมให้ผลได้ทั้งนั้น
แม้วิมาน อันเป็นที่อยู่ของเทวดา ของพรหม หรือเครื่องทรมานสัตว์นรก ก็จัด
เป็นกัมมปัจจยอุตุชรูป ที่เกิดจากชนกกรรมด้วย
ชนกกรรมที่ทำให้เกิดวิบากจิต และกัมมชรูปนี้ ได้แก่อกุศลกรรม 12 และโลกีย-
กุศลกรรม 17
- อุปถัมภกกรรม กรรมอุดหนุนหรือกรรมส่งเสริม เป็นกรรมที่มีหน้าที่อุดหนุน
หรือส่งเสริมกุศลกรรม และอกุศลกรรม
การอุดหนุนส่งเสริมนั้น พึงทราบว่ากรรมนี้ย่อมทำหน้าที่อุดหนุนส่งเสริมทั้งใน
ทางดีและทางชั่วกล่าวคือ ในทางที่ดีก็ส่งเสริมให้กุศลกรรมส่งผลให้ดียิ่งขึ้น ในทางชั่วก็ส่งเสริม
ให้อกุศลกรรมส่งผลให้เลวร้ายต่ำทรามมากลง
ลักษณะการอุดหนุนและส่งเสริมแห่งอุปถัมภกกรรมนี้ กล่าวโดยสรุปมี 3 ประการ
คือ
(1) ช่วยอุดหนุนส่งเสริมชนกกรรมที่ยังไม่มีโอกาสให้ผล ให้มีโอกาสส่งผล
(2) ช่วยอุดหนุนส่งเสริมชนกกรรมที่กำลังให้ผลอยู่นั้น ให้มีกำลังในการให้ผล
นั้นยิ่งขึ้น
(3) ช่วยอุดหนุนรูปนามที่เป็นวิบากของชนกกรรมให้เจริญ และตั้งอยู่ได้นาน
อุปถัมภกรรมที่มีหน้าที่อุดหนุนส่งเสริมนี้ได้แก่ อกุศลกรรม 12 และมหากุศล-
กรรม 8 กล่าวคืออกุศลกรรม 12 ทำหน้าที่อุดหนุนส่งเสริมในทางชั่ว มหากุศลกรรม 8
ทำหน้าที่อุดหนุนส่งเสริมในทางดี