1
สภาวธรรมพื้นฐาน 1
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
ความเบื้องต้น
คำสอนในพระพุทธศาสนา ว่าโดยปิฎก แบ่งเป็น 3 อย่าง คือ พระวินัยปิฎก
พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก
คำสอนที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้โดยอาณาเทศนา คือ ทรงแสดงเป็นระเบียบวินัย
เป็นข้อบังคับ เป็นแบบแผนให้ปฏิบัติ โดยมีข้อกำหนดโทษหรือปรับอาบัติแก่ผู้ล่วงละเมิดไว้
เป็นขั้นๆ ตามควรแก่โทษานุโทษ เรียกว่า พระวินัยปิฎก ซึ่งเป็นคำสอนที่เน้นในเรื่อง ศีล
เพื่อสอนคนให้มีระเบียบวินัย ให้สังคมมีความสงบสุข
คำสอนที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้โดยโวหารเทศนา คือทรงแสดงโดยยักเยื้องโวหาร
เป็นต่างๆ ตามความเหมาะสมแก่บุคคลและกาละเทศะ ทรงยกบุคคลขึ้นเป็นตัวอย่างของการ
ดำเนินชีวิต ทั้งในทางดี ทางชั่ว และทางถูก ทางผิด เรียกว่า พระสุตตันตปิฎก ซึ่งเป็น
คำสอนที่เน้นในเรื่อง สมาธิ เพื่อสอนคนให้มีอัธยาศัยสงบ มีจิตใจแน่วแน่ มั่นคงในการบุญ
การกุศล
คำสอนที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้โดยปรมัตถเทศนา คือทรงแสดงตามหลักสัจจธรรม
โดยไม่ยกบุคคลอื่นขึ้นเป็นตัวอย่าง ทรงแสดงเฉพาะสัจจธรรม หรือสภาวธรรมล้วนๆ เรียกว่า
พระอภิธรรมปิฎก ซึ่งเป็นคำสอนที่ เน้นในเรื่องปัญญา เพื่อสอนคนให้มีสติปัญญา รู้แจ้ง
เห็นจริงในสภาวธรรมทั้งปวง
สัจจธรรม หรือสภาวธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ในพระอภิธรรมปิฎกนั้นแบ่งเป็น
2 อย่าง คือ
(1) สมมุติสัจจะ จริงโดยสมมุติ
(2) ปรมัตถสัจจะ จริงโดยปรมัตถ์
2
ความจริงตามสมมุติของโลก ตามที่ชาวโลกยอมรับกัน เช่นสมมุติว่าเป็นกษัตริย์
เป็นพราหมณ์ เป็นตำรวจ เป็นทหาร เป็นข้าราชการ เป็นเกียรติ เป็นยศ เป็นบ้าน เป็นเรือน
เป็นรถ เป็นเรือ เป็นต้น เหล่านี้เรียกว่าสมมุติสัจจะ จริงโดยสมมุติ คือจริงที่ไม่จริง เรียก
อีกอย่างหนึ่งว่า บัญญัติธรรม คือสิ่งที่ชาวโลกบัญญัติขึ้น สมมุติขึ้นตามโวหารของโลก ตาม
ความยอมรับของโลก
ความจริงโดยปรมัตถ์ คือจริงอย่างแท้จริง หรือจริงจริงๆ โดยไม่มีความวิปริตแปรผันเรียก
ว่า ปรมัตถสัจจะ จริงโดยปรมัตถ์ คือจริงจริงๆ ซึ่งเป็นความจริงโดยสภาวะที่แท้จริง
ตามธรรมชาติที่แท้จริง มิได้มีใครบัญญัติ หรือแต่งตั้งขึ้น สมมุติขึ้น
สิ่งที่เป็นปรมัตถสัจจะนั้น ท่านแสดงไว้ 2 นัย คือนัยที่ 1 ได้แก่สภาวธรรม 2
อย่าง คือ เบญจขันธ์และนิพพาน นัยที่ 2 ได้แก่ปรมัตถธรรม 4 อย่าง คือ จิต เจตสิก รูป
และนิพพาน กล่าวโดยสรุป ปรมัตถสัจจะนั้น ได้แก่สภาวธรรม 2 อย่าง คือ รูปธรรม และ
นามธรรม
เพื่อให้ผู้ศึกษาได้มีความรู้ความเข้าใจในปรมัตถสัจจะพอเป็นพื้นฐาน จึงได้ลำดับหัวข้อ
สภาวธรรมและให้แนวการศึกษาไว้พอเป็นพื้นฐาน ดังต่อไปนี้:-
3
บทที่ 1
เบญจขันธ์และปรมัตถธรรม
ก. เบญจขันธ์
พระพุทธองค์ทรงแสดงความจริงไว้ว่า "ชีวิตมีความตายเป็นที่สุด" และชีวิตนั้น
มีส่วนประกอบสำคัญอยู่ 5 ส่วน เรียกว่า เบญจขันธ์ หรือขันธ์ 5 คือ
(1) รูปขันธ์ กองรูป
(2) เวทนาขันธ์ กองเวทนา
(3) สัญญาขันธ์ กองสัญญา
(4) สังขารขันธ์ กองสังขาร
(5) วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ
ส่วนประกอบของชีวิตส่วนที่ 1 เป็นส่วนที่เห็นได้ง่าย คือส่วนที่เป็นร่างกายหรือรูป-
วัตถุ อันได้แก่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก
เป็นต้น หรืออวัยวะต่างๆ เช่น มือ เท้า แขน ขา ศีรษะ เป็นต้น เหล่านี้ เรียกว่า
รูปขันธ์ คนทุกคนต้องมีรูปขันธ์ ชีวิตทุกชีวิตต้องมีรูปขันธ์ ถ้าไม่มีรูปขันธ์ ก็จะมีรูปร่างตัวตน
ขึ้นไม่ได้ รูปขันธ์นี้เป็นสิ่งที่มีจริง จึงเป็นสภาวธรรมหรือปรมัตถสัจจะ
ส่วนประกอบของชีวิตส่วนที่ 2 ได้แก่ความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ เช่น
รู้สึกเป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง รู้สึกดีใจบ้าง เสียใจบ้าง รู้สึกเฉยๆ บ้าง ความรู้สึกเหล่านี้
เรียกว่า เวทนาขันธ์ คนทุกคน ชีวิตทุกชีวิตจะต้องมีเวทนาขันธ์ คือมีความรู้สึกดังกล่าวนี้
เวทนาขันธ์นี้เป็นสิ่งที่มีจริง จึงเป็นสภาวธรรมหรือปรมัตถสัจจะ
ส่วนประกอบของชีวิตส่วนที่ 3 ได้แก่ความจำได้ ความหมายรู้ต่างๆ เช่นจำรูป (สี)
ได้ จำเสียง จำกลิ่น จำรส จำสิ่งสัมผัสต่างๆ ได้ เป็นต้น ความจำสิ่งต่างๆ ได้นี้
เรียกว่า สัญญาขันธ์ คนทุกคน ชีวิตทุกชีวิตต้องมีสัญญาขันธ์ คือมีความจำได้ด้วยกันทั้งนั้น
ความจำสิ่งต่างๆ ได้นี้เป็นสิ่งที่มีจริง จึงเป็นสภาวธรรม เป็นปรมัตถสัจจะ
4
ส่วนประกอบของชีวิตส่วนที่ 4 ได้แก่ความดี ความชั่วหรือบุญบาปต่างๆ ที่เกิดขึ้น
ในใจ ปรุงแต่งให้เป็นไปต่างๆ คือให้ดีบ้าง ชั่วบ้าง เช่นความโลภ ความโกรธ ความ
หลง ความริษยา ความอาฆาตพยาบาท ความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ความเมตตากรุณา
เป็นต้น เหล่านี้ เรียกว่า สังขารขันธ์ คนทุกคน ชีวิตทุกชีวิตต้องมีสังขารขันธ์ด้วยกันทั้งนั้น
สังขารขันธ์คือความดี ความชั่ว หรือบุญบาปนั้น เป็นสิ่งที่มีจริง จึงเป็นสภาวธรรมหรือปรมัตถ-
สัจจะ
ส่วนประกอบของชีวิตส่วนที่ 5 เป็นส่วนสำคัญที่สุดของชีวิต เป็นส่วนประกอบที่
เป็นธาตุรับรู้หรือเป็นตัวรับรู้อารมณ์ คือรับรู้รูป รู้เสียง รู้กลิ่น รู้รส รู้โผฏฐัพพะ (สิ่งสัมผัส)
และรู้ธรรมารมณ์ (อารมณ์ที่ผ่านมาทางใจ) ส่วนที่เป็นธาตุรับรู้หรือตัวรับรู้อารมณ์นี้ เรียกว่า
วิญญาณขันธ์ ซึ่งได้แก่จิตหรือใจนั่นเอง คนทุกคน ชีวิตทุกชีวิตจะต้องมีวิญญาณขันธ์ คือมี
จิตใจด้วยกันทั้งนั้น ถ้าไม่มีจิตใจ ก็จะรับรู้อารมณ์ใดๆ ไม่ได้ทั้งสิ้น แต่ที่เรากล่าวว่าตาเห็นรูป หู
ได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรู้รส กายรู้สึกสัมผัส นั้น เป็นคำล่าวตามโลกนิยม ว่าโดย
ปรมัตถสัจจะแล้ว ตาไม่ใช่ตัวเห็นรูป หูไม่ใช่ตัวได้ยินเสียง จมูกไม่ใช่ตัวได้กลิ่น ลิ้นไม่ใช่ตัว
รู้รส กายไม่ใช่ตัวรู้สัมผัส แต่เป็นเพียงสื่อหรือเครื่องสัมผัสอารมณ์เท่านั้น ส่วนตัวรับรู้อารมณ์
นั้น ได้ยินแก่วิญญาณหรือจิต เช่น เห็นรูปด้วยตา ได้ยินเสียงด้วยหู เป็นต้น วิญญาณขันธ์หรือจิต
ซึ่งเป็นธาตุรับรู้อารมณ์นี้เป็นสิ่งที่มีจริง จึงเป็นสภาวธรรมหรือปรมัตถสัจจะ
เบญจขันธ์นั้นย่อลงได้เป็น 2 ส่วน คือเป็นรูปส่วนหนึ่ง เป็นนามส่วนหนึ่ง รูปขันธ์
จัดเป็นรูปหรือรูปธรรม ขันธ์อีก 4 ขั้น เป็นนามหรือนามธรรม เบญจขันธ์นี้จึงนิยมเรียกสั้นๆ
ว่า นามรูป หรือรูปนาม ชีวิตทุกชีวิตจึงเป็นเพียงรูปนามหรือรูปธรรมนามธรรมเท่านั้น
ข. ปรมัตถธรรม
ปรมัตถธรรม แปลว่าธรรมที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง คือเป็นความจริงอย่างยิ่ง เป็นความ
จริงจริงๆ ได้แก่สภาวธรรม 4 อย่าง คือ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน
สิ่งที่รู้นึก รู้คิด คือรับรู้อารมณ์ ได้แก่รู้รูป (สี) รู้เสียง รู้กลิ่น รู้รส รู้โผฏฐัพพะ
และรู้ธรรมารมณ์ เรียกว่า จิต ได้แก่วิญญาณในเบญจขันธ์นั่นเอง เพราะวิญญาณกับจิตนั้น
5
เป็นอันเดียวกัน จิตนี้เป็นสิ่งที่มีจริง จึงเป็นปรมัตถธรรม คือเป็นของจริงจริงๆ และจิตนั้น
เป็นนามธรรม ไม่มีรูปร่าง มองเห็นไม่ได้ จับต้องไม่ได้ แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่ รูปร่างกายของเราที่เป็น
อยู่ได้ เคลื่อนไหวได้ก็เพราะเรามีจิต ถ้าปราศจากจิตเมื่อใด ชีวิตก็แตกดับถึงแก่ความตาย
สิ่งที่เกิดร่วมกับจิต ดับพร้อมกับจิต มีอารมณ์และวัตถุ (คือที่อาศัยเกิด) ร่วมกับจิต
เป็นสิ่งที่ประกอบอยู่กับจิตเท่านั้น เรียกว่า เจตสิก ได้แก่นามขันธ์ 3 คือเวทขันธ์ 3 สัญญา-
ขันธ์ และสังขารขันธ์ ในเบญจขันธ์นั่นเอง กล่าวคือขันธ์ทั้ง 3 นั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ
ประกอบกับใจเท่านั้น เช่น เวทนาขันธ์อันได้แก่สุข ทุกข์ อุเบกขา โสมนัส และโทมนัส
เหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ ประกอบกับจิตเท่านั้น ถ้าไม่มีจิต เวทนาก็เกิดขึ้นไม่ได้ สัญญา
และสังขารก็เช่นเดียวกัน ล้วนแต่เกิดขึ้นในจิต ประกอบกับจิตใจทั้งสิ้น
สิ่งที่เป็นรูปร่างกาย เป็นรูปวัตถุ สามารถมองเห็นได้ สัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5
เรียกว่า รูป ได้แก่รูปขันธ์ในเบญจขันธ์นั่นเอง
ดังนั้น ปรมัตถธรรม 3 ข้อแรก จึงได้แก่เบญจขันธ์นั่นเอง กล่าวคือ จิต ได้แก่
วิญญาณขันธ์ เจตสิก ได้แก่เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ และสังขารขันธ์ รูป ได้แก่ รูปขันธ์
ส่วนนิพพาน เป็นขันธวิมุต คือเป็นสิ่งที่พ้นจากขันธ์ มิได้นับเนื่องอยู่ในขันธ์ จัดเป็น
ขันธ์ใดๆ ในเบญจขันธ์มิได้ ดังนั้น ปรมัตถสัจจะ จึงได้แก่ เบญจขัน์และนิพพาน หรือ
ได้แก่ปรมัตถธรรม 4 อย่าง คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน (นิพพาน เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก
จะได้ศึกษาหลังจากที่ศึกษาปรมัตถธรรม 3 ข้อแรกเข้าใจดีแล้ว)
ให้ดูตารางแสดงการสงเคราะห์ปรมัตถธรรม 3 ข้อแรกลงในเบญจขันธ์ (ส่วนนิพพาน
เป็นขันธวิมุต) ดังนี้
6
ประเภทแห่งรูปขันธ์
เบญจขันธ์ข้อแรก คือรูปขันธ์นั้น แบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภท คือ
มหาภูตรูป และอุปาทายรูป
ก. มหาภูตรูป 4 : มหาภูตรูป แปลว่ารูปที่เป็นใหญ่ เป็นประธาน เป็นหลักสำคัญ
(นับได้ว่าเป็นรูปประถมภูมิ) โดยเป็นที่อาศัยหรือเป็นบ่อเกิดของรูปทั้งปวง ได้แก่ธาตุ 4 คือ
ปฐวี (ธาตุดิน=ของแข็ง) อาโป (ธาตุน้ำ=ของเหลว) เตโช (ธาตุไฟ=พลังงาน) และ
วาโย (ธาตุลม=ก๊าซ)
มหาภูตรูปหรือธาตุทั้ง 4 นี้ เป็นสิ่งประกอบสำคัญที่ทำให้ชีวิตมีรูปร่างขึ้น เป็นเนื้อ
เป็นหนังขึ้น และธาตุทั้ง 4 นี้เป็นสหชาตธรรม คือเป็นสิ่งที่เกิดพร้อมกัน อยู่ร่วมกัน และได้
ชื่อว่าเป็นอวินิพโภครูป คือเป็นรูปที่แยกจากกันมิได้ เป็นธาตุที่แยกจากกันไม่ได้ ไม่ว่าจะปรากฏ
ณ ที่ใด จะต้องมีครบทั้ง 4 เสมอ แต่อาจจะมีธาตุใดธาตุหนึ่งยิ่งหรือหย่อนกว่ากันเท่านั้น ธาตุ
ทั้ง 4 นี้มีลักษณะแตกต่างกันในประการสำคัญ ดังนี้
ปฐวีธาตุ เป็นธาตุที่มีลักษณะแข็ง (เป็นของแข็ง) เมื่อนำไปเปรียบกับธาตุอื่น จะพบ
ว่าธาตุนี้มีสภาพแข็งแรงกว่าอื่น วัตถุใด อวัยวะใด มีปฐวีธาตุมาก วัตถุนั้น อวัยวะนั้นก็มีความ
แข็งมาก ถ้ามีปฐวีธาตุน้อยก็แข็งน้อยหรืออ่อน เพราะความอ่อนก็คือความแข็งน้อย หรือความ
แข็งลดลงนั่นเอง
ในอาการ 32 ซึ่งเป็นส่วนประกอบในร่างกายคนและสัตว์นั้น ส่วนที่มีปฐวีธาตุมาก
มีอยู่ 20 ส่วน คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ
ตัว พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า มันสมอง
อาโปธาตุ เป็นธาตุที่มีลักษณะไหลหรือเกาะกุม (เป็นของเหลว) วัตถุใด อวัยวะใด
มีอาโปธาตุพอประมาณ วัตถุนั้น อวัยวะนั้นก็มีการเกาะกุมดี มีความเหนียวแน่นมาก ถ้ามีอาโปธาตุ
มากไปหน่วยอก็มีการเกาะกุมไม่สู้ดี มีความเหนียวแน่นน้อยหน่อย ถ้ามีอาโปธาตุเป็นจำนวนมาก
แล้ว ก็จะมีความเกาะกุมน้อยลง จนเป็นของเหลวและไหลไปได้ เมื่ออาโปธาตุถูกความร้อน
(เตโชธาติมาก) ก็จะทำให้เกิดการไหล เมื่ออาโปธาตุถูกความเย็น (เตโชธาตุลดลงมาก) ก็จะ
ทำให้เกิดการเกาะกุม เช่น เหล็กหรือขี้ผึ้ง เมื่อถูกความร้อนก็ละลายไหลได้ เมื่อถูกความเย็น