บุพพสิกขาวรรณนา
นมตฺถุ รตนตฺตยสฺส
รตนตฺตยํ นมิตฺวา นวานมนุสิกฺขิตุํ
อาทิมฺหิ สฺยามภาสาย สํเขเปเนว ภาสิตา
ยา จ ปุพฺพสิกฺขา ตสฺสาว โถกํ วิตฺถารวณฺณนํ
กริสฺสํ ญาตุกามานั ปณาเมน สุภํ ภเว
ข้าพเจ้านอบน้อมมนัสการ ซึ่งพระรัตนตรัย คือพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์แล้ว บุพพสิกขาอันใดที่ข้าพเจ้าภาษิต คือว่า
แต่งไว้แล้ว เพื่อให้กุลบุตรทั้งหลายผู้เป็นคนใหม่ในศาสนา ศึกษา
ตามในกาลเป็นเบื้องต้น ด้วยเป็นสยามภาษา โดยสังเขปย่อนัก
ข้าพเจ้าจะกระทำการวรรณนา แห่งซึ่งบุพพสิกขานั้น โดย
พิสดารสักน้อยหนึ่ง เพื่อกุลบุตรทั้งหลายผู้ใคร่จะรู้จะศึกษา ใน
สิกขาบทบัญญัติปฏิบัติตามจะได้รู้ ด้วยข้าพเจ้านอบน้อมรัตนตรัย
ขอความงามความสวัสดีจงมีแก่ข้าพเจ้าเถิด
คำว่าบุพพสิกานั้นประสงค์เป็นชื่อคัมภีร์ เป็นของอันกุลบุตร
จะพึงศึกษาแต่เราก่อน จึ่งได้ชื่อว่าบุพพสิกขา เพราะฉะนั้นจึ่งได้
กล่าวว่า ผู้จะอุปสมบท และอุปสมบทแล้ว พึงศึกษาข้อทั้ง 7 นี้
ก่อน ก็ข้อทั้ง 7 นั้นคือ รตนัตตยบัพพะ ข้อว่าด้วยรัตนตรัย 1
อาปัตตินามาทิบัพพะ ข้อว่าด้วยชื่อแห่งอาบัติเป็นต้น 1 ปฏิปัตติ
มุขสิกขาบัพพะ ข้อว่าด้วยสิกขาบท เป็นปากเป็นทางแห่งความ
ปฏิบัติโดยมาก 1 กาลิกบัพพะ ข้อว่าด้วยกาลิก 1 พินทวาธิฏฐานา
ทิบัพพะ ข้อว่าด้วยพิธีมีพินทุและอธิฏฐานเป็นต้น 1 วิชหนาทิ
บัพพะ ข้อว่าด้วยขาดอธิฏฐานเป็นต้น 1 อาปัตติเทสนาทิบัพพะ
ข้อว่าด้วยแสดงอาบัติเป็นต้น 1 เป็น 7 ข้อดังนี้
จะว่าด้วยรตนัตตยบัพพะข้อต้นก่อน คำว่า รตนตฺตยํ นั้น
แปลว่าหมวดสามแห่งรัตนะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สามวัตถุ
นี้ชื่อว่ารัตนะ เพราะว่าเป็นของประเสริฐกว่าสวิญญาณกรัตนะและ
อวิญญาณกรัตนะ ซึ่งมีในไตรภพ อนึ่งเพราะเป็นของทำความยินดี
ให้บังเกิดแก่โลกทั้งสาม
จะกล่าวด้วยพระพุทธรัตนะก่อน ถามว่า เรียกกันว่าพุทธะ ๆ
นั้น อะไรเป็นพุทธะ ? แก้ว่า พุทธะนั้นว่าโดยปรมัตถโวหาร วิสุทธ
ขันธสันดาน คือ กองรูป กองเวทนา กองสัญญา กองสังขาร กอง
วิญญาณ ซึ่งเป็นของมีต่อมาแต่ภพก่อน เป็นของบริสุทธิ์จากปาป
ธรรมอุปกิเลส คือไม่มีอกุศลเจตสิก เป็นแต่อพยากตเจตสิกซึ่งบังเกิด
แต่กุศลเจตสิก นั่นแลเป็นพระพุทธเจ้า ว่าโดยโลกยโวหาร สัตว์
พิเศษผู้หนึ่ง ใช่พรหมใช่มารใช่เทพดาใช่อมนุษย์ เป็นมนุษยชาติ
แต่เป็นมนุษย์อัศจรรย์ มีปัญญาฉลาดล่วงสมณเทพดามารพรหม
และทำสัตว์ให้บริสุทธิ์จากปาปธรรมอุปกิเลสได้ และสอนสัตว์อื่นให้
ได้ความบริสุทธิ์ได้ด้วย นั่นแลเป็นพระพุทธเจ้า
ถามว่า พุทธะ ๆ นั้น แปลว่าอะไร ? แก้ว่า แปลว่าผู้รู้เท่า
สังขารทั้งปวงด้วยตนเอง และให้ผู้อื่นรู้เท่าสังขารด้วย เป็นผู้บาน
แล้วเต็มที่ ปุถุชนเช่นเราชื่อว่าเป็นคนเขลาไม่รู้เท่าสังขาร จึ่งต้อง
โศกเศร้าเมื่อเวลาสังขารนั้นวิบัติ
ถามว่า อะไรเป็นสังขาร ? แก้ว่า สิ่งทั้งปวงที่เป็นของภายใน
และภายนอก ประกอบด้วยวิญญาณและหาวิญญาณมิได้ ที่มีขึ้นเป็น
ขึ้นด้วยเหตุภายในมีกรรมเป็นต้น หรือด้วยเหตุภายนอกมีฤดูเป็นต้น
นี้แลชื่อว่าสังขาร รู้เท่าสังขารนั้นอย่างไร รู้ความเป็นเองของสังขาร
รู้เหตุที่ให้เกิดสังขาร รู้ที่ดับสังขาร รู้หนทางดำเนินไปยังที่ดับสังขาร
นี่แลชื่อว่ารู้เท่าสังขาร ท่านรู้ความเป็นเองของสังขารอย่างไร พระ
องค์รู้ว่าสรรพสังขารทั้งปวงไม่เที่ยงแท้ย่อมแปรปรวนไปต่าง ๆ มี
แล้วหาไม่ เกิดแล้วดับไป สรรพธรรมทั้งปวงใช่ตัวใช่ตนด้วยไม่อยู่
ในอำนาจบังคับของผู้ใด เพราะไม่เที่ยงเพราะใช่ตนนั้นเป็นแต่กอง
ทุกข์ นี่แลเป็นความจริงเป็นความเป็นเองของสังขาร พระองค์
กำหนดรู้ดังนี้ด้วยปริญญาภิสมัย อย่างนี้แลชื่อว่ารู้ความเป็นเองแห่ง
สังขาร รู้เหตุที่ให้เกิดสังขารอย่างไร พระองค์รู้ว่าตัณหาคือความ
ดิ้นรนด้วยอยากได้นี้เอง เป็นผู้สร้างสังขารภายใน เพราะตัณหามี
แล้วให้สัตว์กระทำกรรมที่เป็นกุศลและอกุศล ที่จะตกแต่งสังขารเป็น
กองทุกข์ แล้วท่านมละตัณหานั้นเสียได้ด้วยปหานาภิสมัย อย่างนี้แล
ชื่อว่ารู้เหตุที่ให้เกิดสังขาร ฯ รู้ที่ดับแห่งสังขารนั้นอย่างไร พระองค์
รู้ว่าพระนิพพานเป็นที่ดับตัณหาที่ให้เกิดทุกข์ แล้วกระทำพระ
ินิพพานให้แจ้งประจักษ์ขึ้นในพระหฤทัยด้วยสัจฉิกิริยาภิสมัย อย่างนี้
แลชื่อว่าท่านรู้ที่ดับแห่งสังขาร ฯ พระองค์รู้หนทางดำเนินไปยังที่
ดับสังขารนั้นอย่างไร ฯ พระองค์รู้ว่ามรรค ประดับด้วยองค์แปด
มีสัมมาทิฐิเป็นต้นที่เกิดขึ้นแล้ว กำหนดรู้ความทุกข์ มละตัณหา เห็น
พระนิพพาน นี้แลเป็นหนทางให้ถึงซึ่งความดับทุกข์ และพระองค์
ทำมรรคนั้น ให้มีให้เป็นให้เกิดขึ้นในพระหฤทัยด้วยภาวนาภิสมัย
อย่างนี้แลชื่อว่าท่านรู้หนทางดำเนินไปยังที่ดับสังขาร พระองค์รู้
ความรู้ 4 อย่างนี้พร้อมกันแล้วจึ่งได้ความบริสุทธิ์จนไม่ยินดี ถือว่า
เรารู้เราเห็น แม้สังขารคือร่างกายของพระองค์จะวิบัติเป็นประการ
ใด ๆ ก็ไม่เศร้าไม่โศกเสียใจเหมือนปุถุชน อย่างนี้แลชื่อว่าพระองค์
รู้เท่าสังขารทั้งปวง
ถามว่า บุคคลที่ท่านเรียกว่าพุทธะนั้นมีที่พวก ? แก้ว่า มี
อยู่ 4 พวก คือ พหุสุตพวก 1 ท่านเรียกว่าสุตพุทธะ เพราะเป็น
ผู้รู้เท่าซึ่งความดีชั่วเป็นต้น ด้วยการสดับและเล่าเรียนปริยัติธรรม
อริยสาวกอีกพวก 1 ท่านเรียกว่าสาวกพุทธะ เพราะได้ฟังคำสอน
แห่งพระพุทธเจ้า แล้วแลรู้เท่าสังขารตามเสด็จพระพุทธเจ้า พระ
สยัมภูผู้เป็นพระรู้เองสอนผู้อื่นไม่ได้ ดังคนใบ้ฝันเห็นจำพวก 1 ท่าน
เรียกว่าปัจจเจกพุทธะ เพราะรู้เท่าสังขารแต่ลำพังตัวเอง พระผู้รู้เอง
แล้วแลสอนผู้อื่นให้รู้ตามได้จำพวก 1 ท่านเรียกว่าสัพพัญญูพุทธะ
เพราะเป็นผู้รู้เท่าสังขารและธรรมทั้งปวง ที่ว่าด้วยพุทธะในที่นี้
ประสงค์เอาสัพพัญญูพุทธะอย่างเดียว
ถามว่า พระพุทธเจ้าของเรานี้ พระองค์เกิดขึ้นในที่ไหน ?
แก้ว่า พระองค์เกิดขึ้นในมนุษย์พวกอริยกะในมัชฌิมประเทศ มัชฌิม
ประเทศนั้น แปลว่าประเทศท่ามกลาง เพราะว่าเป็นท่ามกลาง
ที่เกิดแห่งพระพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้า อัครสาวก
พุทธอุปัฏฐาก และพุทธบิดา พุทธมารดา และจักรพรรดิราช และ
ติตถกรบัพพชิตผู้มีทิฐิวาทต่าง ๆ ดังท่ามกลางแห่งสนามเป็นที่มา
ประชุมแห่งชนทั้งปวงฉะนั้น มัชฌิมประเทศนั้นอยู่ในทิศตะวันตก
แต่ประเทศสยามนี้ไป ประเทศสยาม ประเทศรามัญ ประเทศพม่า
ประเทศลาว เป็นต้น เหล่านี้ชื่อว่าปัจจันตประเทศ มนุษย์เกิดใน
ประเทศเหล่านี้ชื่อว่ามิลักขกมนุษย์ มนุษย์เกิดในมัชฌิมประเทศชื่อ
ว่าอริยกะ แต่เดี๋ยวนี้เขาเรียกประเทศนั้นว่าอินเดีย
ถามว่า พระพุทธเจ้าเกิดในมัชฌิมประเทศ เป็นชาวเมืองไหน
เป็นชาติอะไร เป็นโครแซ่อะไร พระนามเดิมชื่อไร เป็นบุตรผู้ใด
พระองค์มีบุตรภรรยาหรือหาไม่ เมื่อใดพระองค์จึ่งเป็นพระพุทธเจ้า ?
แก้ว่า พระองค์เป็นชาวเมืองกบิลพัสดุ์ในแขวงสักกะ พระองค์เป็น
ชาติกษัตริย์พวกสักกะ เป็นโคตมโคตร พระนามเดิมชื่อว่าสิทธัตถะ
พระบิดาทรงพระนามว่า สุทโธทนะ อยู่ ณ เมืองกบิลพัสดุ์ พระ
มารดาทรงพระนามว่า สิริมหามายา พระโอรสของพระองค์ทรง
พระนามว่า ราหุล พระเทวีของพระองค์ทรงพระนามว่า พิมพายโส-
ธรา เมื่อพระชนมายุของพระองค์ได้ 29 พรรษา พระองค์จึ่งละ
ฆราวาสสมบัติออกบรรพชา บำเพ็ญเพียรแสวงหาโมกขธรรมอัน
บริสุทธิ์อยู่ถึง 6 ปี จึ่งได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมสัมโพธิญาณ ต่อนั้น
ไปพระองค์ทรงบำเพ็ญพุทธกิจสั่งสอนเวเนยยนิกรตลอด 45 พรรษา
จึ่งเสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ เมืองกุสินารา
ถามว่า บิดามารดาบุตรภรรยาและสุขสมบัติเป็นของรัก เหตุ
ไฉนพระองค์จึ่งมละทิ้งเสียได้ ? แก้ว่า พระองค์มละทิ้งเสียได้ด้วย
เหตุดังนี้ คือพระองค์เห็นชราความแก่ พยาธิความเจ็บไข้ มรณะ
ความตายเป็นกองทุกข์ใหญ่ ดังหนึ่งไฟเผาสัตว์อื่นและตัวท่านอยู่ แต่
ผู้อื่นนั้นเห็นคนแก่คนไข้เจ็บคนตายแล้วเกลียดชัง ไม่รู้ว่าของสาม
อย่างนี้เป็นของสำหรับตัว พระองค์เห็นว่าของสามอย่างนี้เป็นของ
สำหรับสัตว์อื่นและสำหรับตัวท่าน จะเกลียดเหมือนอย่างคนอื่นเขา
เกลียดก็ไม่ชอบ จะรักก็ไม่น่ารัก จะเฉยเสียว่าช่างเถิดก็ไม่ชอบกล
พระองค์เห็นแล้วว่า ชรา พยาธิ มรณะ นี้เป็นภัยใหญ่หลวงน่ากลัว
แต่จะหนีทางไหนก็ไม่พ้นด้วยเป็นของสำหรับอยู่กับรูปกาย พระองค์
จึงทรงอนุมานว่า ธรรมที่ไม่มีความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นที่
หลีกหนีความแก่ ความเจ็บ ความตาย คงจะมีเป็นแน่ เหมือนกับมีไฟ
เป็นของร้อนแล้วก็มีน้ำเป็นของเย็นแก้ มีมืดแล้วก็มีแสงสว่างแก้
แล้วพระองค์ค้นหาว่า ความแก่ ความไข้เจ็บ ความตาย มีมาแต่ไหน
เห็นว่ามาแต่ชาติคือความเกิด ค้นต่อไปว่าชาติมาแต่ไหน ก็ไม่เห็น
ชัดด้วยปัญญาเหมือนกับเห็นของสามอย่างมาแต่ชาติ พระองค์จึ่ง
ร้อนพระหฤทัยว่าจะอยู่ในสุขสมบัตินี้ จะหาธรรมที่เป็นที่หลีกหนี
ความทุกข์เหล่านี้ไม่ได้เป็นแน่ ด้วยเกลื่อนกล่นอยู่ด้วยบุตรภรรยา
ทรัพย์สมบัติ ที่จะพาให้ลุ่มหลงและถมทุกข์ทวีขึ้น สิริสมบัตินี้เป็นที่
คับแคบนัก แล้วทรงเห็นว่าบรรพชาทรงเพศเป็นบรรพชิตอยู่แต่
ผู้เดียวนั้น ไม่เกลื่อนกล่นด้วยเหตุที่จะให้เกิดความยินดียินร้าย
พระองค์จึ่งมละสุขสมบัติออกทรงเพศเป็นบรรพชิต แสวงหาธรรมที่
สิ้นทุกข์ทั้งปวง เพราะฉะนั้นท่านจึ่งกล่าวว่าพระพุทธเจ้าพระองค์เกิด
เป็นสองครั้ง คือเกิดด้วยรูปกายครั้งหนึ่ง เกิดด้วยนามกายอันบริสุทธิ์
ครั้งหนึ่ง คือตั้งแต่ลงสู่พระครรภ์พระมารดาแล้วอยู่ในครรภ์ 10