ปกรณ์วิเศษชื่อวิสุทธิมรรค
ภาค 3
ขันธนิเทศ
บัดนี้ เพราะเหตุที่สมาธิซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงออกไว้
ด้วยหัวข้อคือจิต ในบาทพระคาคา (ที่นิกเขปได้เบื้องต้น) ว่า สีเล
ปติฏฺฐาย นโร สปญฺโญ จิตฺตํ ปญฺญญฺจ ภาวยํ----นั้น เป็นอัน
ภิกษุผู้ประกอบพร้อมด้วยสมาธิภาวนาอันมั่นคง มีอานิสงส์อันได้รับแล้ว
โดย (ที่ได้บรรลุ) อภิญญาดังกล่าวมานี้ ได้บำเพ็ญเสร็จแล้ว ด้วย
อาการทั้งปวง* ก็แลปัญญาอันอยู่ในลำดับแห่งสมาธินั้น ภิกษุผู้ประกอบ
พร้อมด้วยสมาธิภาวนานั้นแล้วพึงลำเพ็ญ (ต่อไป) ก็แต่ปัญญา
นั้น เพราะทรงแสดงไว้สังเขปนัก ก่อนอื่นก็ไม่เป็นการง่ายแม้แต่จะ
เข้าใจ (เสียแล้ว) จะกล่าวไยถึงจะบำเพ็ญเล่า เพราะเหตุนั้น เพื่อ
จะแสดงความพิสดารแห่งปัญญานั้น และนัย (วิธี) ในการบำเพ็ญด้วย
จึงมีปัญหากรรม (ดัง) นี้ คือ
(1) อะไรเป็นปัญญา
(2) ได้ชื่อว่า ปัญญา เพราะอรรถอะไร
(3) อะไรเป็นลักษณะ เป็นรส เป็นปัจจุปัฏฐาน และปทัฏฐาน
ของปัญญานั้น
* คำว่า อาการทั้งปวง มหาฎีกาท่านช่วยจาระไนให้ฟังว่า เช่นอาการที่ได้อุปจาร
ได้อัปปนา ได้วสีภาวะ อาการที่ก้าวล่วงองค์มีวิตกเป็นต้น อาการที่หน่ายจากรูปารมณ์
เป็นต้น อาการที่ฝึกจิต 14 สถาน อาการที่ได้อานิสงส์ 5 เป็นอาทิ
(4) ปัญญามีกี่อย่าง
(5) ปัญญาจะพึงบำเพ็ญขึ้นได้อย่างไร
(6) อะไรเป็นอานิสงส์แห่งการบำเพ็ญปัญญา
(ต่อไป) นี้ เป็นคำวิสัชนาในปัญหากรรมนั้น
[1. อะไรเป็นปัญญา]
ปัญหากรรม (ข้อแรก) ว่า "อะไรเป็นปัญญา" นั้น มีวิสัชนา
ว่า ปัญญามีหลายอย่างต่างประการ อันจะวิสัชนาพยายามชี้แจกปัญญา
นั้นไปทุกอย่าง จะไม่พึงยังประโยชน์ที่ประสงค์ให้สำเร็จ ทั้งจะพึงเป็น
ไปเพื่อความเฝือยิ่งขึ้นด้วย เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายจะกล่าวหมาย
เอาปัญญาที่ประสงค์ในที่นี้เท่านั้น คือ วิปัสนาญาณ อันสัมปยุตด้วย
กุศลจิต (นั่นแล) เป็นปัญญา
[2. ได้ชื่อว่าปัญญาเพราะอรรถอะไร]
ปัญหากรรม (ข้อ 2) ว่า "ได้ชื่อว่าปัญญาเพราะอรรถอะไร"
มีวิสัชนาว่า (ธรรมชาติอันนั้น) ได้ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ทั่ว
อันความรู้ทั่วนี้คืออะไร คือรู้โดยประการต่าง ๆ วิเศษกว่าอาการที่รู้
จักและอาการที่รู้แจ้ง จริงอยู่ แม้เมื่อสัญญา (ความรู้จัก) วิญญาณ
(ความรู้แจ้ง) และปัญญา (ความรู้ทั่ว) เป็นความรู้ด้วยกัน (แต่)
สัญญาก็เป็นแต่ความรู้จักอารมณ์ว่า (รูปนั้น) มีสีเขียว มีสีเหลือง
เป็นต้นเท่านั้น ไม่อาจให้ถึงความเข้าตลอดซึ่ง (ไตร) ลักษณะ คือ
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้ วิญญาณ รู้อารมณ์ว่า (รูป) เขียว
เหลือง เป็นต้นด้วย ทำให้ถึงความเข้าใจตลอดซึ่ง (ไตร) ลักษณะด้วย*
แต่ไม่อาจส่งให้ถึงความเกิดปรากฏขึ้นแห่งมรรคได้ ส่วนปัญญารู้อารมณ์
และทำให้ถึงความเข้าใจตลอดซึ่ง (ไตร) ลักษณะตามนัยที่กล่าวแล้ว
ด้วย ส่งให้ถึงความเกิดปรากฏขึ้นแห่งมรรคได้ด้วย อุปมาเหมือน
อย่างว่า เมื่อคน 3 คน คือ คนหนึ่งเป็นทารกยังไม่เดียงสา คนหนึ่ง
เป็นบุรุษชาวบ้าน คนหนึ่งเป็นเหรัญญิก มองดูกองกหาปณะที่ตั้งไว้
บนเป็น (กองเงิน) ของเหรัญญิก ทารกยังไม่เดียงสาก็รู้แต่ความงาม
แปลก ๆ ยาว สั้น สี่เหลี่ยม และกลม แห่งกหาปณะทังหลายเท่านั้น
หารู้ไม่ว่า สิ่งนี้เขาสมมตกันว่าเป็นแก้ว เป็นเครื่อง (ซื้อหา) อุปโภค
และบริโภคแห่งมนุษย์ทั้งหลายได้ บุรุษชาวบ้านรู้ความสดใสแปลก ๆ
เป็นต้นด้วย รู้ว่าสิ่งนี้เขาสมมตกันว่าเป็นแก้ว เป็นเครื่อง (ซื้อหา)
อุปโภคและบริโภคแห่งมนุษย์ทั้งหลายได้ด้วย แต่ไม่รู้คัดแยก (อย่าง)
นี้ว่า กหาปณะนี้แท้ กหาปณะนี้ปลอม กหาปณะนี้ (ปน) มีเงินจริง
ครึ่งหนึ่ง เป็นต้น เหรัญญิกรู้ประการทั้งหลายนั้นทุกอย่าง เมื่อรู้เล่า
* มหาฎีกาตั้งปัญหาว่า วิญญาณ ทำให้ถึง (ลักขณปฏิเวธ) ความเข้ใจตลอดซึ่งไตรลักษณ์ได้
อย่างไร ? แล้วแก้ว่า "เข้าใจได้ตามทางที่ปัญญาชี้ให้" อธิบายว่า เมื่อวิปัสนาปัญญาอันมี
ไตรลักษณ์เป็นอารมณ์ รู้แจ้งแทงตลอดซึ่งไตรลักษณ์ไปหลาย ๆ วาระเข้า วิปัสนาย่อมมีได้แม้ด้วย
จิตที่เป็นญาณวิปยุต (คือวิญญาณ) ด้วยอำนาจความเคยชินด้วยชำนาญ ดังเช่นการสาธยายพระ
คัมภีร์ที่ชำนาญ ก็ว่าไปได้กล่อง ๆ โดยไม่รู้ความก็ได้ และว่าลักขณปฏิเวธ ในข้อนี้ก็หมายเพียง
ว่า ทำไตรลักษณ์เป็นอารมณ์เท่านั้น มิใช่รู้แจ้งแทงตลอด (ด้วยปัญญา)
อธิบายของพระฎีกาจารย์นี้ กระเทือนถึงโวหารที่เราพูดกันอยู่ คือเราพูดกันว่าบุถุชน
รู้ธรรมเช่นไตรลักษณ์ได้เหมือนกัน แต่เป็น "รู้ด้วยสัญญา ไม่ใช่รู้ด้วยปัญญา" แต่ในฎีกานี้
ท่านว่า "รู้ด้วยวิญญาณ" ซึ่งสูงกว่าสัญญา
แม้มองดูกหาปณะก็รู้ แม้ฟังเสียงกหาปณะที่เขาเคาะก็รู้ แม้ดมกลิ่นดู
ก็รู้ แม้ลิ้นรสดูก็รู้ แม้ชั่วดูด้วยมือก็รู้ เหรัญญิกนั้นรู้ด้วยว่า "กหาปณะ
นั้น ทำที่บ้านชื่อโน้น หรือที่นิคม ที่นคร ที่ภูเขา หรือที่ฝั่งแม่น้ำ
ชื่อโน้น ๆ" รู้แม้ (กระทั่ง) ว่า อาจารย์ชื่อโน้นทำ ดังนี้ฉันใด ข้อ
อุปมัยนี้ก็พึงทราบฉันนั้น แท้จริง สัญญา (ความรู้จัก) ก็เป็นราวกะ
การดูกหาปณะแห่งทารกยังไม่เดียงสา เพราะถือเอาแต่เพียงอาการที่
ปรากฏแห่งอารมณ์โดยเป็นสีเขียวเป็นต้น วิญญาณ (ความรู้แจ้ง)
เป็นเหมือนการดูกหาปณะแห่งบุรุษชาวบ้าน เพราะถือเอาอาการแห่ง
อารมณ์ (ที่ปรากฏ) โดยเป็นสีเขียวเป็นต้นด้วย ให้ถึงความเข้าใจ
ตลอดซึ่ง (ไตร) ลักษณะสูงขึ้นไปก็ได้ด้วย ปัญญา เป็นดังการดู
กหาปณะแห่งเหรัญญิก เพราะถือเอาการแห่งอารมณ์โดยเป็นสีเขียว
เป็นต้นก็ได้แล้ว และให้ถึงความเข้าใจตลอดซึ่ง (ไตร) ลักษณะก็
ได้แล้ว ยัง(ส่ง) ให้ถึงความเกิดปรากฏแห่งมรรคสูงขึ้นไปกว่านั้นก็ได้
ด้วย เพราะเหตุนั้น ความรู้โดยประการต่าง ๆ วิเศษกว่าอาการที่รู้จัก
และอาการที่รู้แจ้งนั้นใด ความรู้นี้ (แหละ) พึงทราบว่า เป็นความรู้
ทั่ว คำที่ว่า "ได้ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ทั่ว" นั้น ข้าพเจ้า
กล่าวหมายเอาความรู้ทั่วนี้แล
ก็แลปัญญานี้นั้น สัญญาและวิญญาณมีอยู่ในจิตตุบาทใด หาได้มี
ในจิตตุบาทนั้น (ด้วย) โดยส่วนเดียวไม่1 แต่เมื่อใดปัญญามี (ด้วย)
เมื่อนั้นก็แยกจากธรรม (คือสัญญาและวิญญาณ) เหล่านั้นไม่ได้ จึง
1. มหาฎีกาว่า เพราะปัญญาย่อมไม่เกิดในจิตตุบาทที่เป็นทุเหตุกะและอเหตุกะ
เป็นธรรมชาติที่ละเอียดเห็นได้ยาก เพราะมีความต่างที่จะพึงแยกออก
ไม่ได้ว่า นี่สัญญา นี่วิญญาณ นี่ปัญญา1 เพราะเหตุนั้น ท่านนาคเสน
จึงถวายพระพร (พระเจ้ามิลินท์) ว่า "ดูกรมหาบพิตร กิจที่ทำได้ยาก
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำแล้ว" พระเจ้ามิลินท์ตรัสซักว่า "ท่าน
นาคเสนผู้เจริญ ก็กิจที่ทำได้ยากอะไรเล่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรง
ทำแล้ว" ท่านนาคเสนถวายวิสัชนาว่า "ดูกรมหาบพิตร กิจอันทำได้
ยากที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำ ก็คือตรัสบอกการกำหนด (แยก)
ธรรมทั้งหลายอันไม่มีรูป คือจิตและเจตสิกเหล่านี้ที่เป็นไปในอารมณ์
เดียวกันอยู่ว่า นี่ผัสสะ นี่เวทนา นี่สัญญา นี่เจตนา นี่จิต" ดังนี้
[3. อะไรเป็นลักษณะ ฯลฯ ของปัญญา]
ส่วนในปัญหากรรม (ข้อ 3) นี้ว่า "อะไรเป็นลักษณะเป็นรส
เป็นปัจจุปัฏฐาน และเป็นปทัฏฐานของปัญญานั้น" มีวิสัชนาว่า ปัญญา
มีการตรัสรู้สภาวะแห่งธรรมเป็นลักษณะ มีอันขจัดเสียซึ่งความมืดคือ
โมหะอันปิดบังสภาวะแห่งธรรมทั้งหลายเป็นรส (คือเป็นกิจ) มีความหาย
หลงเป็นปัจจุปัฏฐาน (คือเป็นเครื่องปรากฏหรือเป็นผล) ส่วนสมาธิจัด
เป็นปทัฏฐาน (คือเหตุใกล้) ของปัญญานั้น โดยพระบาลีว่า "สมาหิโต
ยถาภูตํ ชานาติ ปสฺสติ ผู้มีจิตเป็นสมาธิย่อมรู้เห็นตามเป็นจริง2"
1. มหาฎีกาท่านช่างคิดเปรียบเทียบว่า สัญญาและวิญญาณ แยกจากปัญญาโดย
เด็ดขาดได้ ก็เหมือนสุขแยกจากปีติโดยเด็ดขาดได้ ส่วนปัญญาแยกจากสัญญาและ
วิญญาณโดยเด็ดขาดไม่ได้ เหมือนปีติแยกจากสุขโดยเด็ดขาดไม่ได้
2. องฺ. ทสก. 24/3
[4. ปัญญามีกี่อย่าง]
ปัญหากรรม (ข้อ 4) ว่า "ปัญญามีกี่อย่าง" มีวิสัชนา ว่า
โดยลักษณะคือความตรัสรู้สภาวะแห่งธรรม ปัญญาก็อย่างเดียวเท่านั้น
เป็น 2 อย่าง โดย (จำแนก) เป็นโลกิยะ และโลกุตตระ เป็น
2 อย่างนัยเดียวกันนั้น โดย (จำแนก) เป็นสาสวะ (มีอาสวะ) และ
อนาสวะ (ไม่มีอาสวะ) เป็นต้น โดย (จำแนก) เป็นนามววัฏฐาปนะ
(กำหนดนาม) และรูปววัฏฐาปนะ1 (กำหนดรูป) โดย (จำแนก)
เป็นโสมนัสสหคตะ (ร่วมกับโสมนัส) และอุเบกขาสหคตะ (ร่วมกับ
อุเบกขา) และโดย (จำแนก) เป็นทัสนาภูมิ (ชั้นเห็น) และภาวนา-
ภูมิ (ชั้นเป็น)
เป็น 3 อย่าง โดย (จำแนก) เป็นจินตามยะ สุตมยะ และภาวนา-
มยะ เป็น 3 อย่างนัยเดียวกันนั้น โดย (จำแนก) เป็นปริตตารัมมณะ
มหัคคตารัมมณะและอัปปมาณารัมมณะ โดย (จำแนก) เป็นอายโกศล
อปายโกศล และอุปายโกศล และโดย (จำแนก) เป็นอภินิเวส 3 มี
อัชฌัตตาภินิเวส (มุ่งมั่นข้างใน) เป็นต้น
เป็น 4 อย่าง โดยเป็นญาณในอริยสัจ 4 และโดยเป็นปฏิ-
สัมภิทา (ญาณ) 4 แล
ในส่วนแห่งปัญญาทั้งหลายเหล่านั้น ส่วนแห่งปัญญาที่เป็นอย่าง
เดียว มีเนื้อความง่ายอยู่แล้ว
1 ปาฐะในมหาฎีกาเป็น.....ววฏฺฐาน