เมนู

สมาธินิเทศ
อาหารเรปฏิกูลสัญญา
บัดนี้ ภาวนานิเทศแห่งอาหาเรปฏิกูลสัญญา ที่ท่านยกขึ้นแสดง
ไว้ถัดอารุปปนิเทศว่า "เอกา สญฺญา - สัญญา 1 " ดังนี้ มาถึงแล้ว
โดยลำดับ
บัณฑิตพึงทราบวินิจฉัยในอาหารเรปฏิกูลสัญญานั้น ดังต่อไปนี้
สภาพใดย่อมนำมา เหตุนี้ สภาพนั้นจึงชื่อว่า อาหาร (แปล
ว่า สภาพผู้นำมา ) อาหารนั้นมี 4 อย่าง คือ กพฬิงการาหาร
ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร
[สิ่งที่อาหารนำมา]
ถามว่า ก็ในอาหาร 4 อย่างนั้น อาหารอย่างไหน ย่อมนำ
อะไรมา ?
ตอบว่า กพฬิงการาหารย่อมนำโอชัฏฐมกรูป (รูปกลาปมีโอชา
เป็นที่ 8 )* มา ผัสสาหารนำเวทนา 3 มา มโนสัญเจตนาหาร
นำปฏิสนธิในภพ 3 มา วิญญาณหารนำมารูปในขณะปฏิสนธิมา
[ภัยที่เกิดเพราะอาหารเป็นเหตุ]
ในอาหาร 4 อย่างนั้น ภัยคือความนิยมยินดี ย่อมมีในเพราะ
* คือมหาภูตรูป 4 และ สี กลิ่น รส โอชา.

กพฬิงการาหาร ภัยคือความเข้าไปหา ย่อมมีในเพราะผัสสาหาร
ภัยคือความเข้าถึง (คือเกิด) ย่อมมีในเพราะมโนสัญเจตนาหาร
ภัยคือปฏิสนธิ ย่อมมีในเพราะวิญญาณาหาร ก็แลในอาหารทั้งหลาย
อันมีภัยจำเพาะอย่างนี้นั่น กพฬิงการาหาร จึงควรชี้แจงด้วยพระโอวาท
ที่เปรียบอาหารด้วยเนื้อบุตร ผัสสาหาร ควรชี้แจงด้วยพระโอวาทที่
เปรียบผัสสะด้วยโคถกหนัง มโนสัญเจตนาหาร ควรชี้แจงด้วย
พระโอวาทที่เปรียบภพด้วยหลุมถ่านเพลิง วิญญาณหารควรชี้แจง
ด้วยพระโอวาทที่เปรียบวิญญาณด้วยหอกหลาว แล
[อาหารที่ประสงค์เอาในกรรมฐานนี้]
แต่ในอาหาร 4 นี้ กพฬิงการาหารอันแยกประเภทเป็นของกิน
ของดื่ม ของเคี้ยว ของลิ้ม เท่านั้น ท่านประสงค์เอาว่าอาหารในความ
ข้อนี้ ความหมายรู้อันเกิดขึ้นโดยที่ถือเอาอาการที่ปฏิกูลในอาหารนั้น
ชื่ออาหาเรปฏิกูลสัญญา พระโยคาวจรผู้ใคร่จะเจริญอาหารเรปฏิกูลสัญญา
นั้น พึงเรียนเอากรรมฐานได้แล้ว (จำไว้) มิให้ผิดจากที่เรียกมา
แม้แต่บทเดียว ไปในที่ลับ (คน) เร้นอยู่ (คนเดียว) แล้วจึง
พิจารณาดูความปฏิกูลในกพฬิงการาหารอันแยกเป็นของกิน ของดื่ม
ของเคี้ยว ของลิ้ม โดยอาการ 10 อาการ 10 นี้ คืออะไรบ้าง คือ
คมนโต โดยการเดินไป
ปริเยสนโต โดยการแสวงหา
ปริโภคโต โดยการบริโภค

อาสยโต โดยอาสยะ (อาโปธาตุในลำไส้ที่ออก
มาประสมกับอาหารที่กลืนลงไป
นิธานโต โดยที่พัก (คือกระเพาะอาหาร ?)
อปริปกฺกโต โดยยังไท้ย่อย
ปริปกฺกโต โดยย่อยแล้ว
ผลโต โดยผล
นิสฺสนฺทโต โดยการไหลออก
สมฺมกฺขนโต โดยความเปรอะเปื้อน
[คมนโต-ปฏิกูลโดยการเกิดไป]
ใน 10 บทนั้น บทว่า "คมนโต - โดยการเดินไป " นั้น
ความว่า ความปฏิกูลโดยการเดินไป พระโยคาวจรพึงพิจารณาเห็น
โดยนัยดังนี้ว่า "อันบรรพชิตในพระศาสนาที่ขึ้นชื่อว่ามีอานุภาพมาก
อย่างนี้ละ ทำการสาธายายพระพุทธวจนะก็ดี สมณธรรมก็ดี ตลอดทั้ง
คืน เลิกในตอนเช้าตรู่แล้ว (ไป) ทำวัตรที่ลานพระเจดีย์และลาน
พระโพธิ์ ตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ กวาดบริเวณ ชำระร่างกายแล้ว ขึ้น
ที่นั่ง มนสิการกรรมฐานสัก 20 - 30 คาบ แล้วจึงลุกขึ้นถือบาตรและ
จีวร (จำต้อง) ละตโปวันอันเป็นที่ปราศจากชนเบียดเสียด สะดวก
แก่ (การอยู่อย่าง) ปวิเวก ถึงพร้อมด้วยร่มเงาและน้ำ สะอาด เย็น
เป็นภาคพื้นน่ารื่นรมย์ (จำต้อง) งดมุ่งหวังความยินดีในวิเวกอันเป็น
อริยคุณ มีหน้ามุ่งสู่หมู่บ้านไปเพื่อต้องการอาหาร ดังสุนัขจิ้งจอก

มุ่งหน้าสู่ป่าช้าไป (เพื่อต้องการซากศพ) ฉะนั้น เมื่อไปอย่างนั้น
เล่า ตั้งแต่ลงเตียงหรือตั่งไป ก็ต้องย่ำเครื่องลาดอันเกลื่อนกล่น
ไปด้วยสิ่งไม่สะอาดมีละอองติดเท้าและมูลจิ้งจอกเป็นต้น ต่อนั้นไปก็
จำต้องเจอหน้ามุขอันปฏิกูลยิ่งกว่าภายในห้อง เพราะลางทีก็ถูกสิ่งปฏิกูล
มีมูลหนูและมูลค้างคาวเป็นต้นทำให้เสียไป ถัดออกไปก็จำต้องเจอ
พื้นล่าง (กุฎี) ซึ่งปฏิกูลยิ่งกว่าชั้นบน เพราะลางทีก็เปรอะไปด้วยมูล
นกเค้าและมูลนกพิราบเป็นต้น ต่อออกไปก็จำต้องเจอบริเวณอันปฏิกูล
ยิ่งกว่าพื้นล่าง (ของกุฎี) เพราะลางทีก็สกปรกไปด้วยหญ้าและใบไม้
เก่า ๆ ที่ลมพัดมา ด้วยปัสสาวะ อุจจาระ น้ำลาย น้ำมูก ของพวก
สามเณรที่เป็นไข้ และด้วยน้ำและโคลนในหน้าฝนเป็นต้น ทางเดิน
ไปวิหาร (จากบริเวณ) อันปฏิกูลยิ่งกว่าบริเวณไปอีก ก็จำต้องเจอ1
อนึ่ง เธอผู้ไหว้พระโพธิ์และพระเจดีย์โดยลำดับแล้ว (ไปหยุด) ยืน
อยู่ที่วิตักมาลก (โรงหยุดตรึก2) ตรึกไปว่าตนจำต้องไม่เหลียวแล
พระเจดีย์อัน (งาม) เช่นกับกองแก้วมุกดา และพระโพธิ์อัน (งาม)
จับใจเช่นกับกำหางนกยูง และเสนาสนะอัน (งาม) มีสง่าด้วยความ
1. ไม่สมกับคำพรรณนาชมเสนาสนะ (ถัดไป 3 บรรทัด) ที่ว่างามสง่าราวกะเทพพิมาน
น่ารื่นรมย์.
2. มหาฎีกาว่า "เป็นที่ ๆ ภิกษุไปหยุดตรึกว่า วันนี้จะไปภิกขาที่ไหนหนอ " ใน
วิสุทธิมรรคแปลร้อยอธิบายเพิ่มเติมเอาไว้ว่า " วิตักกมาลกนั้น เป็นโรงสำหรับภิกษุ
ผู้ถือบิณฑบาต แต่ในขณะไปยืนอยู่ที่โรงวิตกนั้นเวลาเดียว เวลานอกนั้นเธอตรึกอยู่แต่ใน
พระกรรมฐานทั้งวันทั้งคืน" ชอบกล ทำไมต้องทำที่ไว้ให้ไปหยุดตรึก จะตรึกเสียที่กุฏิ
หรือที่อื่นไม่ได้หรือ.

พร้อมมูลแล้วแม้นเทพพิมาน หันหลังให้สถานที่อันน่ารื่นรมย์เห็นปานนี้
ไป ก็เพราะอาหารเป็นเหตุ ดังนี้แล้วก้าวออกเดินไปตามทางไปสู่
หมู่บ้าน ก็จำต้องเจอทางอันมีตอแลหนามบ้าง ทางอันถูกกำลังน้ำ
เซาะ (เป็นล่องลึก) และลุ่ม ๆ ดอน ๆ บ้าง แต่นั้น เธอผู้นุ่ง
ผ้า (ด้วยความรู้สึก) เหมือนปิดแผลฝี คาดประคด (ด้วยความ
รู้สึก) เหมือนพันผ้าพันแผล ห่มจีวร (ด้วยความรู้สึก) เหมือน
คลุมโครงกระดูก นำบาตรไป (ด้วยความรู้สึก) เหมือนนำกระเบื้อง
ใส่ยาไป ถึงที่ใกล้ช่องทางเข้าหมู่บ้าน ก็จะพึงได้เจอซากต่าง ๆ
เช่นซากช้างบ้าง ซากม้าบ้าง ซากโคบ้าง ซากกระบือบ้าง ซาก
คนบ้าง ซากงูบ้าง ซากสุนัขบ้าง * ใช่แต่จะพึงได้พึงได้เจอก็หาไม่ แม้
กลิ่นของซากเหล่านั้นที่มากระทบจมูก ก็เป็นสิ่งที่เธอจำต้องทนด้วย
ต่อนั้น เธอจะต้อง ( หยุด ) ยืนที่ช่องเข้าหมู่บ้าน มองดูทางเดิน
ในหมู่บ้าน (เสียก่อน) เพื่อหลีกอันตราย มีช้างดุ ม้าดุเป็นต้น
สิ่งปฏิกูลมีเครื่องลาด (ที่เปื้อนละออง) เป็นต้น มีซาก
หลายอย่างเป็นปริโยสาน ดังกล่าวมาฉะนี้นี้ เป็นสิ่งที่เธอจำต้องเหยียบ
ย่ำด้วย จำต้องเจอด้วย จำต้องได้กลิ่นด้วย ก็เพราะอาหารเป็นเหตุ
ความปฏิกูลโดยการเดินไป พระโยคาวจรพึงเห็นลงดังนี้เถิดว่า "โอ !
ปฏิกูลจริงนะพ่อ อาหาร (นี้) "
* ฟังดูพิลึกพิลั่น หมู่บ้านอะไร มีกระทั่งซากช้างและซากคน ทิ้งให้เหม็นโขงอยู่
เช่นนั้น.

[ปริเยสนโต - ปฏิกูลโดยการแสวงหา]
(ความปฏิกูล) โดยการแสวงหา เป็นอย่างไร ? บรรพชิต
ผู้แม้ทนความปฏิกูลในการเดินไปอย่างนี้แล้ว เข้าสู่หมู่บ้าน คลุมตัว
ด้วยสังฆาฏิ ก็ต้องเที่ยวไปตามทางในหมู่บ้างตามลำดับเรือน เหมือน
คนกำพร้ามือถือกระเบื้องเที่ยวไปฉะนั้น ในทางไรเล่า คราวฤดูฝน
ในที่ ๆ ย่ำ ๆ ไป เท้าจมลงในเลนกระทั่งถึงเนื้อปลีแข้ง ต้องถือบาตร
ด้วยมือข้างหนึ่ง ยกจีวรได้ด้วยมือข้างหนึ่ง ครั้นถึงฤดูร้อน ก็ต้อง
เที่ยวไป (ภิกขา) ทั้งที่ร่างกายมอมแมมด้วยฝุ่นและละอองหญ้า ที่
ฟุ้งขึ้นด้วยกำลังลม ถึงประตูเรือนนั้น ๆ แล้ว ก็ต้องเจอ ลางทีก็ต้อง
ย่ำหลุมโสโครกและแอ่งน้ำครำ อันคละคล่ำไปด้วยของโสโครกมีน้ำ
ล้างปลา น้ำล้างมือ น้ำซาวข้าว น้ำลาย น้ำมูก และมูลสุนัขมูลสุกร
เป็นต้น คลาคล่ำไปด้วยหมู่หนอนและแมลงวันหัวเขียว ซึ่งเป็น
แหล่งที่แมลงวันในหมู่บ้านขึ้นมาเกาะที่สังฆาฏิบ้าง ที่บาตรบ้าง ที่
ศีรษะบ้าง เมื่อเธอเข้าไปถึงเรือนเล่า เจ้าของเรือนลางพวกก็ให้
ลางพวกก็ไม่ให้ ที่ให้เล่า ลางพวกก็ให้ข้าวที่หุงไว้แต่เมื่อวานบ้าง
ของเคี้ยวเก่า ๆ บ้าง กับข้าวมีแกงถั่วบูด ๆ เป็นต้นบ้าง ที่ไม่ให้เล่า
ลางพวกบอกว่า "โปรดสัตว์ข้างหน้าเถิด เจ้าข้า" เท่านั้น แต่
ลางพวกแสร้งทำเป็นไม่เห็น นิ่งเฉยเสีย ลางพวกก็เบือนหน้าเสีย
ลางพวกก็ร้องว่าเอาด้วยคำหยาบ ๆ เป็นต้นว่า "ไปเว้ย คนหัวโล้น"
ถึงอย่างนี้ เธอก็จำต้องเที่ยวบิณฑบาตไปในหมู่บ้านอย่างคนกำพร้า
แล้วจึงออกไปแล