เมนู

ปกรณ์วิเศษชื่อวิสุทธิมรรค
ภาค 2
อนุสสติกัมมฐานนิเทส
มรณสติ
บัดนี้ ภาวนานิเทสแห่งมรณสติ (อันท่านจัดไว้) ถัดจาก
เทวตานุสสตินี้ ถึงแล้วโดยลำดับ
ความขาดแห่งชีวิติทรีย์ที่เนื่องอยู่กับภพอันหนึ่ง* ชื่อว่ามรณะ
ในคำว่ามรณสตินั้น ส่วนว่าสมุจเฉทมรณะ กล่าวคือความขาดเด็ดแห่ง
วัฏฏทุกข์ของพระอรหันต์ทั้งหลายก็ดี ขณิกมรณะ อันได้แก่ความดับ
ในขณะ ๆ แห่งสังขารทั้งหลายก็ดี สัมมติมรณะ (อันได้) ในคำของ
ชาวโลกว่า ต้นไม้ตาย โลหะตาย เป็นต้นก็ดี นั้นใด มรณะนั้น
ท่านมิได้ประสงค์เอาในคำว่ามรณสตินี้ ส่วนมรณะที่ท่านประสงค์เอา
นั้น มี 2 อย่าง คือ กาลมรณะ อกาลมรณะ ในมรณะ 2 อย่าง
นั้น กาลมรณะ ย่อมมีเพราะสิ้นบุญบ้าง เพราะสิ้นอายุบ้าง เพราะ
สิ้นทั้งสองอย่างบ้าง อกาลมรณะ ย่อมมีด้วยอำนาจกรรมอันเข้าไปตัด
(ชนก) กรรม ในมรณะเหล่านั้น มรณะใด แม้เมื่อความถึงพร้อม

* ปาฐะในวิสุทธิมรรคพิมพ์ไว้เป็น เอกภาว. . . .ผิด ที่ถูกเป็น เอกภว. . .

แห่งปัจจัยอันเป็นเครื่องยังอายุให้สืบต่อไปยังมีอยู่ แต่ก็มีขึ้นได้ เพราะ
ความที่กรรมอันก่อปฏิสนธิ มีวิบากสุกงอมสิ้นเชิงแล้วนี้ ชื่อว่า มรณะ
เพราะสิ้นบุญ1 มรณะใดมีขึ้นด้วยอำนาจความสิ้นแห่งอายุ ดังอายุ
อันมีประมาณสก 100 ปีของคนทุกวันนี้ เพราะความไม่มีสมบัติ เช่น
คติ กาล และอาหารเป็นต้น นี้ชื่อว่ามรณะเพราะสิ้นอายุ ส่วน
มรณะใดย่อมมีแก่บุคคลทั้งหลายผู้มีปัจจัยเครื่องสืบต่อ (แห่งอายุ) ถูก
กรรมที่สามารถยังสัตว์ให้เคลื่อนจากฐานะ (ที่เป็นอยู่) ได้ทันที เข้า
มาตัดเอา ดุจคนบาปทั้งหลายมีพญาทุสิมาร และพญากลาพุเป็นต้น
ก็ดี แก่บุคคลทั้งหลายผู้มีปัจจัยเครื่องทุสิมาร และพญากลาพุเป็นต้น
ด้วยอุปักกมะ (ความทำร้าย) มีการใช้ศัสตราเป็นต้น ด้วยอำนาจ
แห่งกรรมที่ทำไว้ในปางก่อนก็ดี2 มรณะนี้ชื่อว่า อกาลมรณะ มรณะ
ทั้งหมดนั้น (ล้วน) สงเคราะห์เข้าด้วยความขาดแห่งชีวิตินทรีย์ มี
ประการดังกล่าวแล้ว ความระลึกถึงความตาย กล่าวคือความขาดแห่ง
ชีวิตินทรีย์ ดังกล่าวมานี้แล ชื่อมรณสติ
[วิธีเจริญมรณสติ]
พระโยคาวจรผู้ใคร่จะเจริญมรณสตินั้น พึงเป็นผู้ไปในที่ลับ

1. มหาฎีกาว่า มรณะเพราะสิ้นบุญนี้ ท่านกล่าวสำหรับสมบัติภพ คือภพดี ถ้ากล่าวสำหรับวิบัติภพ
คือภพเลว ก็ต้องว่า มรณะเพราะสิ้นบาป หมายความว่าสิ้นบุญตายก็มี สิ้นบาปตายก็มี
2. นัยแรกหมายถึงกรรมหนักที่ทำในปัจจุบัน นัยหลังเป็นบุริมกรรม แต่ก็นับเป็นอุปัจเฉทกรรม
ทั้งคู่ (?)

(คน) เร้นอยู่ (ในเสนาสนะอันสมควร) แล้วยังมนสิการให้เป็นไป
โดยแยบคายว่า "มรณํ ภวิสฺสติ ชีวิตินฺทฺริยํ อุปจฺฉิชฺชิสฺสติ
ความตายจักมี ชีวิตินทรีย์จักขาด" ดังนี้ หรือว่า "มรณํ มรณํ
ตาย ตาย" ดังนี้ก็ได้ เพราะเมื่อยังมนสิการให้เป็นไปโดยไม่แยบคาย
ความโศกจะเกิดขึ้นในเพราะไประลึกถึงความตายของอิฏฐชน (คนรัก)
เข้า ดุจความโศกเกิดแก่มารดาผู้ให้กำเนิดในเพราะไประลึกถึงความ
ตายของบุตรที่รักเข้าฉะนั้น ความปราโมชจะเกิดขึ้น ในเพราะระลึกถึง
ความตายของอนิฏฐชน (คนเกลียด) ดุจความบันเทิงใจเกิดขึ้นแก่คน
ที่มีเวรกันทั้งหลาย ในเพราะระลึกถึงความตายของเวรีชน (คนเป็น
เวรกัน) ฉะนั้น ความสังเวชจะไม่เกิดขึ้นในเพราะระลึกถึงความตาย
ของมัชฌัตตชน (คนที่เป็นกลาง ๆ) ดุจความสลดใจไม่เกิดขึ้นแก่
สัปเหร่อ ในเพราะเห็นซากคนตายฉะนั้น ความสะดุ้งกลัว เกิดขึ้นแก่
คนชาติขลาด เพราะเห็นเพชฌฆาตผู้เงื้อดาบ (จะฟันเอา) ฉะนั้น
ความเกิดขึ้นแห่งความโศกเป็นต้นนั้นทั้งหมดนั่น ย่อมมีแก่บุคคลผู้ไร้
สติ และสังเวคะ และญาณ เพราะเหตุนั้น พระโยคาวจรพึงดูสัตว์
ที่ถูกฆ่าและที่ตาย (เอง) ในที่นั้น ๆ แล้วคำนึงถึงความตายของพวก
สัตว์ที่ตายซึ่ง (มัน) มีสมบัติ (คือความพร้อมมูลต่าง ๆ) ที่ตนเคย
เห็นมา ประกอบสติ และสังเวคะ และญาณเข้า ยังมนสิการให้เป็น
ไปโดยนัยว่า "มรณํ ภวิสฺสติ ความตายจักมี" ดังนี้ เป็นต้นเถิด
ด้วยว่า เมื่อ (ยังมนสิการ) ให้เป็นไปอย่างนั้น จัดว่าให้เป็นไปโดย

แยบคาย หมายความว่าให้เป็นไปโดยอุบาย (คือถูกทาง) จริงอยู่
สำหรับพระโยคาวจรลางท่าน (ที่อินทรีย์กล้า) ยังมนสิการให้เป็นไป
อย่างนั้นเท่านั้นแหละ นีวรณ์ทั้งหลายจะรำงับลง สติอันมีความตาย
เป็นอารมณ์จะตั้งมั่น กรรมฐานถึงอุปจารทีเดียวก็เป็นได้
[ผู้อินทรีย์อ่อนพึงระลึกโดยอาการ 8]
แต่สำหรับพระโยคาวจรผู้ใด ด้วยมนสิการเพียงเท่านี้ กรรมฐาน
ยังไม่เป็น (อย่างนั้น) พระโยคาวจรผู้นั้น พึงระลึกถึงความตายโดย
อาการ 8 นี้ คือ
วธกปจฺจุปฏฺบานโต โดยปรากฏดุจเพชฌฆาต
สมฺปตฺติวิปตฺติโต โดยวิบัติแห่งสมบัติ
อุปสํหรณโต โดยเปรียบเทียบ
กายพหุสาธารณโต โดยร่างกายเป็นสาธารณแก่สัตว์
และปัจจัยแห่งความตายมากชนิด
อายุทุพฺพลโต โดยอายุเป็นของอ่อนแอ
อนิมิตฺตโต โดยชีวิตไม่มีนิมิต
อทฺธานปริจฺเฉทโต โดยชีวิตมีกำหนดกาล
ขณปริตฺตโต โดยชีวิตมีขณะสั้น
[อธิบายอาการที่ 1 - วธกปจฺจุปฏฺฐานโต]
ใน 8 บทนั้น บทว่า วธกปจฺจุปฏฺฐานโต แปลว่าโดยปรากฏ
(แห่งความตาย) ดุจเพชฌฆาต ความว่า พระโยคาวจรพึงระลึกว่า

เพชฌฆาตคิดว่าจักตัดศีรษะคนผู้นี้ ถือดาบจ่อที่คอ ยืนประชิดตัวอยู่
ฉันใด แม้ความตายก็ปรากฏฉันนั้นเหมือนกัน ถามว่า เพราะอะไร
ตอบว่า เพราะมันมาพร้อมกับความเกิด และเพราะมันคร่าเอาชีวิตไป
อุปมาเหมือนดอกเห็ด* ย่อมพาเอาฝุ่นติดตัวขึ้นมาด้วยฉันใด สัตว์
ทั้งหลายก็พาเอาความแก่และความตายเกิดมาด้วยฉันนั้น จริงอย่างนั้น
ปฏิสนธิจิตของสัตว์เหล่านั้นก็ถึงซึ่งความแก่ในลำดับแห่งความเกิดขึ้น
นั้นเอง แล้วก็แตก (ดับ) ไปพร้อมกับสัมปยุตขันธ์ทั้งหลาย ดังศิลา
ตกจากยอดเขาแตกไปฉะนั้น (นี่ว่าด้วย) ขณิกมรณะมาพร้อมกับความ
เกิดก่อน แต่แม้มรณะที่ท่านประสงค์เอาในมรณสตินี้ ก็จัดว่ามาพร้อม
กับความเกิด เพราะความที่สัตว์ผู้เกิดมาแล้ว ต้องตายเป็นแน่ เพราะ
เหตุนั้น อันว่าสัตว์นั่น จำเดิมแก่กาลที่เกิดแล้วก็บ่ายหน้าสู่ความตาย
ไปไม่กลับเลยแม้สักน้อยเดียว เปรียบดั่งดวงสุริยะที่ขึ้นแล้ว ย่อมบ่าย
หน้าสู่ความตกไปท่าเดียว มิได้กลับแต่ที่ ๆ ไป ๆ แล้วแม้สักหน่อย
หนึ่ง หรือมิฉะนั้น เหมือนลำธารที่ไหลลงจากภูเขา มีกระแสเชี่ยว
พัดพาเอาสิ่งที่มันจะพาไปได้ไหลรุดไปท่าเดียว มิได้ (ไหล) กลับ
แม้สักนิดฉะนั้น เพราะฉะนั้น พระอโยฆรกุมารโพธิสัตว์จึงกล่าวว่า

* ปาฐะในฉบับวิสุทธิมรรคเป็น อหิจฺฉตฺตกํ มกุลํ แต่ในมหาฎีกาเป็น อหิจฺฉตฺตกมกุลํ เห็น
ว่าปาฐะหลังนี้เข้าทีกว่า เพราะถ้าแยกอย่างปาฐะแรกจะต้องแปลว่า "เห็ดตูม" ไม่เข้ากับความ
ในประโยค ซึ่งมิได้มุ่งจะพูดถึงเห็ดตูมเห็ดบาน แต่มุ่งจะพูดถึงเห็ดที่ขึ้นจากดิน พาเอาดินติดหัว
ขึ้นมาด้วย จึงเหมาะที่จะเป็น อหิจฺฉตฺตกมกุลํ ซึ่งแปลได้ว่า "ดอกเห็ด" ขึ้นชื่อว่าดอกเห็ดแร
ขึ้นจากดิน มันก็ตูมก่อนทั้งนั้น แล้วจึงได้บานภายหลัง

"สัตว์เผ่ามนุษย์ (เข้า) อยู่ในครรภ์ ในตอน
กลางคืน ๆ หนึ่ง ในขณะแรก (ปฏิสนธิ)
ใด (จำเดิมแต่ขณะแรกนั้นไป) สัตว์ผู้ผุดเกิด
เป็นตัวแล้วก็บ่ายหน้าไปทีเดียว เขาไปเรื่อย ไม่
กลับ"1 ดังนี้

อนึ่ง เมื่อสัตว์นั้น (บ่ายหน้า) ไปอยู่อย่างนั้น ความตายย่อม
ใกล้เข้ามาทุกที ดุจความแห้งไปแห่ง (น้ำใน) ลำน้ำน้อยทั้งหลาย
ที่ถูกแดดในฤดูร้อนแผดเผา ดุจความหล่นแห่งผลไม้ทั้งหลายที่มีขั้วอัน
รสอาโปซาบแล้ว2 ในตอนเช้า ดุจความแตกแห่งภาชนะดินทั้งหลายที่สุด
ทุบด้วยก้อน และดุจความเหือดหายไปแห่งหยาดน้ำค้างทั้งหลายที่รัศมี
ดวงอาทิตย์ต้องเอาฉะนั้น เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส ( 3
คาถาแรก และพระโพธิสัตว์กล่าวคาถาที่ 4) ว่า
วันและคืนล่วงไป ชีวิตใกล้ดับเข้าไป อายุของ
สัตว์ทั้งหลาย (ค่อย) สินไป ดังนี้แห่งลำน้ำน้อย
(ค่อย) แห้งไปฉะนั้น
ภัยแต่ความตาย ย่อมมีเป็นเที่ยงแท้แก่สัตว์
ทั้งหลายผู้เกิดมาแล้ว ดุจภัยแต่ความหล่นในเวลา
เช้า ย่อมมีแก่ผลไม้ทั้งหลายที่สุกแล้วฉะนั้น
เหมือนอย่างภาชนะดินที่ช่างหม้อทำขึ้นแล้ว ทั้ง


1. ขุ. ชา. วีสติ. 27/469
2. น่าจะว่าอันรสอาโปซาบไม่ถึง ถ้าเช่นนั้น ปาฐะก็ควรจะเป็นว่า อาโปรสานนุคต. . .