ปกรณ์วิเสสชื่อวิสุทธิมรรค
ภาค 1 ตอน 1
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เอง
โดยชอบ พระองค์นั้น
[ พรรณนาความแห่งปัญหาพยากรณ์
"ภิกษุผู้เป็นคนฉลาด มีความเพียร มีปัญญาบริหาร
ตน ตั้งอยู่ในศีลแล้ว อบรมจิตและปัญญาตั้งอยู่ นั้น
พึงถางชัฏนี้ได้แล*"
คำดังนี้นี่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้. ก็เหตุไฉนตรัสคำนี้ ?
ได้ยินว่า เทพบุตรองค์หนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อ
ประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถี ในเวลาตอนกลางคืน ทูลถามปัญหานี้ เพื่อ
ถอนความสงสัยของตนว่า
"ธรรมชาติอันหนึ่ง เป็นชัฏทั้งภายใน ชัฏทั้งภาย
นอก ประชาชนถูกชัฏ (นั้น) เกี่ยวสอดไว้แล้ว
ข้าแต่พระโคดม เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าขอทูลถาม
พระองค์ ใครจะพึงถางชัฏนี้ได้."
อรรถกถาธิบายย่อแห่งปัญหานั้นต่อไปนี้ :- คำว่าชัฏนี้ เป็นชื่อ
* สํ. ส. 15/20. โบราณท่านนิยมเติมคำเพื่อเข้ากับอิติว่า พระคาถานี้ว่า "ภิกษุผู้. . ชัฏนี้
ได้" ดังนี้ ซึ่งนับเนื่องในชฏาสูตร อันพระพุทธโฆษาจารย์ชักมาตั้งไว้แล้วในกาลเป็นที่เริ่มปกรณ์นี้
เพื่อประโยชน์แก่ความเป็นบทกระทู้.
ของตัณหา ซึ่งเป็นธรรมชาติมีข่าย แท้จริง ตัณหานั้นได้ชื่อว่าชัฏ
เพราะเป็นดุจชัฏ กล่าวคือข่ายแห่งกิ่งของต้นไม้ (ที่มีกิ่งเป็นข่าย)
ทั้งหลาย มีกอไผ่เป็นต้น ด้วยอรรถว่าเกี่ยวประสานไว้ เพราะเกิดขึ้น
แล้ว ๆ เล่า ๆ ในอารมณ์ทั้งหลายมีรูปเป็นต้น โดยเป็นไปในทั้งอารมณ์
ชั้นต่ำและอารมณืชั้นสูง.*
ก็ตัณหานี้นั้น เทพบุตรเรียกว่า "ชัฏทั้งภายใน ชัฏทั้งภายนอก"
เพราะมันเกิดขึ้นทั้งในบริขารของตน และบริขารของผู้อื่น ทั้งใน
*เหฏฺฐูปริยวเสน. มหาฎีกา ให้ถือเอาความว่า ลางคราวเป็นไปในรูปอารมณ์ ลางคราวเป็นไป
ในอารมณ์ที่เหลือจนถึงธรรมารมณ์ ลางคราวเป็นไปในธรรมารมณ์ ลางคราวเป็นไปในอารมณ์
โดยลำดับจนถึงรูปารมณ์ หรือลางครั้งเป็นไปในกามภพ ลางครั้งในรูปภพ ลางครั้งในรูปภพ
หรือ ลางครั้งเป็นไปในอรูปภพ - ในรูปภพ - ในกามภพ ตามมติท่านฎีกาจารย์นี้ ดูเหมือนจะให้
ถือว่า รูปารมณ์เป็นต่ำ เลื่อนขึ้นไปโดยลำดับจนถึงธรรมารมณ์เป็นสูง และกามภพเป็นต่ำ
อรูปภพเป็นสูง เข้าใจว่า ท่านจะหมายถึงหยาบละเอียดกว่ากันกระมัง.
น่าเห็นว่า สำหรับอารมณ์ 6นั้น หมายเอาความต่ำสูงซึ่งมีอยู่ในตัวของมันแต่ละ
อย่างนั่นเอง เช่นรูปที่หยาบ เลว นับเป็นชั้นต่ำ รูปที่ละเอียด ประณีต นับเป็นชั้นสูง
ทั้งนี้อาศัยนัยพระบาลีเช่นบาลีอนัตตลักขณสูตร ตอนนิเทศปัญจขันธ์ว่า ยงฺกิญจิ รูปํ. . . . โอฬาริกํ
วา สุขุมํ วา หีนํ วา ปณตํ วา (รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง. . . หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือ
ประณีตก็ตาม) ดังนี้ อันตัณหานั้นมันไม่เลือกสุดแต่ความยินดีพอใจมีในที่ใด มันก็เกิดขึ้นในที่นั้น
ไม่ว่าที่ต่ำที่สูง มันจึงยุ่งไปหมด ส่วนภพทั้ง 3 นั้น จะถือเอาความหยาบละเอียดเป็นที่สูงต่ำกว่า
กันก็ชอบอยู่ สมด้วยพระบาลีในติกังคุตตระ สูตรที่ 77 ว่า กามธาตุ เป็น หีนธาตุ, รูปธาตุ
เป็นมัชฌิมธาตุ, อรูปธาตุ เป็น ปณีตธาตุ. บุคคลจะอยู่ในฐานะอย่างไรก็ตาม แต่ตัณหาใน
สันดานของบุคคลนั้น มันหาเป็นไปตามควรแก่ฐานะไม่ มันย่อมเป็นไปสูงบ้าง ต่ำบ้าง ตามความ
ยินดีพอใจ (นนฺทิราคสหคตา) จึงปรากฏว่า มนุษย์ไปเกิดเป็นพรหมและเทวดาก็มี พรหมและ
เทวดากลับลงมาเกิดเป็นมนุษย์ก็มี สับสนกันไปมา มันจึงยุ่ง.
อัตภาพของตนและอัตภาพของผู้อื่น ทั้งในอายตนะภายใน และ
อายตนะภายนอก ประชาชนอันชัฏ (คือตัณหา) ที่เกิดขึ้นอยู่อย่างนี้
นั้นเกี่ยวสอดไว้แล้ว (รวม) ความว่า ประชา กล่าวคือหมู่สัตว์นี้
แม้ทั้งหมด อันชัฏคือตัณหานั้นเกี่ยวสอด คือรัดรึงตรึงไว้ เหมือน
ต้นไม้ที่มีชัฏทั้งหลายมีไม้ไผ่เป็นอาทิ อันชัฏมีชัฏไผ่เป็นต้นเกี่ยวสอดไว้
ฉะนั้น ก็เพราะเหตุว่าหมู่สัตว์อันชัฏคือตัณหาเกี่ยวสอดไว้อย่างนี้
ข้าแต่พระโคดม เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงขอทูลถามพระองค์ ข้อว่า
ตํ ตํ โคตม ปุจฺฉามิ ความว่า เพราะเหตุนั้น* ข้าพเจ้าจึงขอทูลถาม
พระองค์. เทพบุตรออกพระนามพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยพระโคตร
ว่า โคตมะ ข้อว่า ใครพึงถางชัฏนี้ได้ คือเทพบุตรทูลถามว่า "ใคร
จะพึงถาง คือใครสามารถจะถางซึ่งชัฏนี้อันเกี่ยวสอดไว้ทั้งไตร (โลก)
ธาตุตั้งอยู่อย่างนี้ได้."
ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ท่องเที่ยวไปด้วยพระญาณ อันไม่มีอะไร
ขัดขวางในธรรมทั้งปวง ผู้เป็นของเทพ เป็นเทพยิ่งเหล่าเทพ เป็น
สักกะยิ่งเหล่าสักกะ เป็นพรหมยิ่งเหล่าเหล่าพรหม เป็นผู้แกล้วกล้าด้วย
เวสารัชญาณ 4 ผู้ทรงไว้ซึ่งทสพลญาณ ผู้ทรงมีพระญาณหาเครื่อง
กั้นกางมิได้ ผู้ทรงมีสมันตจักษุ อันเทพบุตรทูลถามอย่างนี้แล้ว
เมื่อจะทรงวิสัชนาความนี้แก่เทพบุตรนั้น จึงตรัสคาถานี้ว่า
*วิธีแปลเช่นนี้ คือเป็นทั้งความเป็นทั้งบทตั้งแล้วแก้ความด้วย นิยมกันไว้ในวิธีแก้อรรถ ยก
ตัวอย่างในอรรถกถาธรรมบท แก้อรรถเรื่องกุมารกสฺสปเถรมาตุวตฺถุ (ภาค 6/11).. อตฺตานญเจ
ตถา กยิรา ยถญฺญมนุสาสติ ฯ เอวํ สนฺเต สุทนฺโต วต ทเมถาติ เยน: คุเณน ปรํ อนุสาสติ
เตน อตฺตนา สทนฺโต หตฺวา ทเมยฺย ฯ
"ภิกษุผู้เป็นคนฉลาด มีความเพียร มีปัญญา
บริหารตน ตั้งอยู่ในศีลแล้วอบรมจิตและปัญญาอยู่
นั้น พึงถางชัฏนี้ได้" ดังนี้.
บัดนี้ ข้าพเจ้าเมื่อจะพรรณนาเนื้อความอันต่าง
โดยคุณมีศีลเป็นต้น แห่งพระคาถาที่พระผู้แสวง
คุณอันใหญ่ตรัสแล้วนี้ตามที่ถูกต้อง จักกล่าว
วิสุทธิมรรค อันอาศัยนัยแห่งเทศนาของพระเถระ
ฝ่ายมหาวิหาร ซึ่งมีวินิจฉัยอันหมดจดดี เป็นเครื่อง
ปลูกปราโมทย์แก่เหล่าพระโยคีในพระศาสนานี้ ผู้
ได้บรรพชาในศาสนาแห่งพระชินศรีเจ้า อันได้
แสนยากแล้ว เมื่อไม่รู้วิสุทธมรรคอันตรงอันเกษม
อันรวบรวมคุณมีศีลเป็นต้นตามที่ถูกต้อง แม้มุ่ง
ความบริสุทธิ์ แม้พยายามอยู่ ย่อมไม่ลุถึงวิสุทธิ
ได้ ดูกรสาธุชนทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้ากล่าว
วิสุทธิมรรคโดยเคารพ ขอท่านทั้งหลายทั้งปวง
ผู้มุ่งวิสุทธิ จงตั้งใจฟังวิสุทธิมรรคนั้นโดยเคารพ
เทอญ.
บทว่า วิสุทฺธิ ในคำว่า ข้าพเจ้ากล่าววิสุทธิมรรค นั้น พึง
ทราบว่าหมายเอาพระนิพพานอันปราศจากมลทินทั้งปวง อันบริสุทธิ์
แท้จริง ทางแห่งวิสุทธินั้นแลชื่อว่าวิสุทธิมรรค อุบายเป็นเครื่อง
บรรลุ ท่านเรียกว่าทาง ความก็คือข้าพเจ้าจักกล่าวทางแห่งวิสุทธินั้น.
ก็ทางแห่งวิสุทธินั้น ในพระบาลีลางแห่งทรงแสดงเนื่องด้วย
ธรรมเพียงวิปัสสนาอย่างเดียว ดังที่ตรัสว่า
"เมื่อใด บุคคลเห็นด้วยปัญญาว่าสังขารทั้งปวง
ไม่เที่ยง เมื่อนั้น เขาย่อมหน่ายในทุกข์ นั่นทาง
แห่งวิสุทธิ1."
ลางแห่งทรงแสดงเนื่องด้วยฌานและปัญญา เหมือนที่ตรัสว่า
"ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้หาปัญญามิได้ ปัญญาย่อม
ไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด
ผู้นั้นแลอยู่ใกล้พระนิพพาน2."
ลางแห่งทรงแสดงเนื่องด้วยธรรมมีกรรมเป็นต้น เช่นที่ตรัสว่า
มัจจะทั้งหลายหมดจดได้ด้วยธรรม 5 ประการนี้
คือ กรรม วิชา ธรรม ศีล และอุดมชีวิต ไม่ใช่
ด้วยโคตรหรือด้วยทรัพย์3."
ลางแห่งทรงแสดงเนื่องด้วยธรรมมีศีลเป็นต้น อย่างที่ตรัสว่า
"ภิกษุสมบูรณ์ด้วยศีล มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว มีปัญญา
มีความเพียรอันปรารภแล้ว มีตนอันส่งไปแล้ว ใน
กาลทุกเมื่อ ย่อมข้ามโอฆะอันยากที่จะข้ามได้4."
ลางแห่งทรงแสดงเนื่องด้วยโพธิปักขิยธรรม มีสติปัฏฐานเป็นต้น อย่าง
ที่ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ทางที่ไปอันเอกนี้ ย่อมเป็นไป
1. ขุ. ธ. 25/51. 2. ขุ. ธ. 25/65. 3. สํ. ส. 15/78. 4. สํ. ส. 15/74.
พร้อมเพื่อวิสุทธิแห่งสัตว์ทั้งหลาย ฯ ล ฯ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระ
นิพพาน นี้คืออะไร คือสติปัฏฐาน41."
แม้ในโพธิปักขิยธรรมอื่น มีสัมมัปปธานเป็นต้น ก็นัยเดียวกัน
แต่ในปัญหาพยากรณ์นี้ ทางแห่งวิสุทธินั้น ทรงแสดงเนื่องด้วยไตร
สิกขามีศีลเป็นต้น นี้เป็นพรรณนาโดยย่อในพระคาถานั้น.
คำว่า สีเล ปติฏฺฐาย นั้น แปลว่าตั้งอยู่ในศีล ก็ภิกษุ
ทำศีลให้บริบูรณ์นั่นเอง เรียกว่าผู้ตั้งอยู่ในศีล ในที่นี้ เพราะฉะนั้น
ความหมายในคำว่า สีเล ปติฏฺฐาย นี้ จึงมีดังนี้ว่า ตั้งอยู่ในศีล
โดยทำให้ศีลบริบูรณ์ บทว่า นโร ได้แก่สัตว์2 บทว่า สปญฺโญ
ความว่า "ผู้มีปัญญา โดยปัญญาอันมาพร้อมกับปฏิสนธิอันเป็นไตร-
1. ที. ม. 10/325. 2. นโรติ สตฺโต. รู้สึกว่าท่านแก้ออกจะมากไป สำหรับนักศึกษา
ชาวไทยฝังใจกันมานานแล้วว่า นโร นี้แปลว่า คน ไม่เคยแปล นโร ว่าสัตว์ จริงอยู่คำว่าสัตว์
นั้นเป็นคำรวม จะหมายความถึงมนุษย์หรือดิรัจฉานตลอดไปถึงเทวดามารพรหมอะไรก็ได้ แต่
บรรดาที่มีวิญญาณครอง และแม้ว่าอาจารย์ทางศัพทศาสตร์ท่านจะวิเคราะห์ศัพท์นโรนี้ว่า สัตว์อัน
ชรามรณะนำไป แต่ว่าโดยเฉพาะในพระคาถานี้ ต้องเป็นคน จึงจะเหมาะสมแก่การตั้งอยู่ในศีล
และบำเพ็ญสมาธิปัญญาได้.
ในทางไวยากรณ์ บทที่จะเป็นประธานได้ในพระคาถานี้มีอยู่ 2 บท คือ นโร กับภิกฺขุ แต่
จะเป็นสยกัตตาทั้ง 2 บทไม่ได้ จำต้องเป็นสยกัตตาบทหนึ่ง อีกบทหนึ่งเป็นวิกติกัตตา ถ้าดูตาม
ที่ท่านแก้ไว้ คือแปล นโร ว่าสัตว์ ส่วน ภิกฺขุ ท่านวิเคราะห์ว่า สํสาเร ภยํ อิกฺขขตีติ ภิกฺขุ
ก็คือว่า ให้แปล ภิกฺขุ ว่าผู้เห็นภัยในสงสาร เช่นนี้ก็ประหนึ่งว่าจะยกให้ นโร เป็นสยกัตตา คือ
แปลคาถานั้นว่า "สัตว์ผู้ฉลาด ตั้งอยู่ในศีล ฯ ล ฯ มีปัญญาเห็นภัยในสงสาร ฯ ล ฯ" แต่ว่าโดย
ทางความ สู้เอา ภิกฺขุ เป็นสยกัตตาไม่ได้ ดังที่นักศึกษาเข้าใจและแปลกันอยู่ทั่วไปเช่นนั้น ถ้า
ดังนี้แล้วไซร้ คงจะแปล นโร ว่าสัตว์ เอาความว่า ภิกษุผู้เป็นสัตว์ฉลาด ฯ ล ฯ ดังนี้ จะขัดหู
คนไทยอย่างยิ่ง อันที่จริงบทว่า นโร ก็ดูจะเป็นเพียงบทบูรณ คือใส่เข้ามาให้เต็มคณะฉันท์เท่านั้น
โดยว่าจะไม่มี นโร ก็คงแปลได้ความบริบูรณ์ ดีกว่ามีนโรเสียอีก.