ตติยปาราชิก วรรณนา
ตติยปาราชิกใด ซึ่งพระพุทธเจ้าผู้หมดจดทางไตร-
ทวารทรงประกาศแล้ว, บัดนี้ ถึงลำดับสังวรรณา
แห่งตติยปาราชิกนั้นแล้ว; เพราะเหตุนั้น คำใดที่
จะพึงรู้ได้ง่าย และคำใดที่ข้าพเจ้าได้ประกาศไว้
แล้วในก่อน สังวรรณนานี้แม้แห่งตติยปาราชิกนั้น
จะเว้นคำนั้น ๆ เสียฉะนี้แล.
พระบาลีอุกเขปพจน์ว่า " เตน สมเยน พุทฺโธ ภควา
เวสาลิยํ วิหรติ มหาวเน กูฏาคารสาลายํ " เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าว
ต่อไปนี้ :-
[ อธิบายเรื่องเมืองไพศาลี ]
บทว่า เวสาลิยํ มีความว่า ใกล้นครที่มีชื่ออย่างนั้น คือมี
โวหารเป็นไป ด้วยอำนาจแห่งอิตถีลิงค์. จริงอยู่ นครนั้น เรียกว่า
" เวสาลี " เพราะเป็นเมืองที่กว้างขวาง ด้วยขยายเครื่องล้อม คือ
กำแพงถึง 3 ครั้ง. ความสังเขปในตติยปาราชิกนี้ มีเท่านี้. ส่วน
ความพิสดารแห่งบทว่า " เวสาลี " นั้น อันผู้ปรารถนาแห่งขุททกปาฐะ
ชื่อปรมัตถโชติกาเถิด. ก็แลนครแม้นี้ พึงทราบว่า " เป็นเมืองถึง
ความไพบูลย์โดยอาการทั้งปวง " ในเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้วเท่านั้น. ท่านพระอุบาลีเถระ ครั้น
แสดงโคจรคามอย่างนั้นแล้ว จึงกล่าวที่เสด็จประทับไว้ว่า " มหาวเน
กูฏาคารสาลายํ " (ที่กูฏาคารศาลาในป่ามหาวัน).
บรรดาป่ามหาวันและกูฏาคารศาลานั้น ป่าใหญ่มีโอกาสเป็นที่
กำหนด เกิดเอง ไม่ได้ปลูก ชื่อว่าป่ามหาวัน. ส่วนป่ามหาวันใกล้
กรุงกบิลพัสดุ์ เนื่องเป็นอันเดียวกันกับป่าหิมพานต์ ไม่มีโอกาสเป็น
ที่กำหนด ตั้งจดมหาสมุทร. ป่ามหาวันนี้ไม่เป็นเช่นนั้น คือเป็นป่า
ใหญ่ มีโอกาสเป็นที่กำหนด; เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าป่ามหาวัน. ส่วน
กูฏาคารศาลา อันถึงพร้อมด้วยอาการทั้งปวง ซึ่งสร้างให้มีหลังคาคล้าย
ทรวดทรงแห่งหงส์ ทำเรือนยอดไว้ข้างใน ณ อารามที่สร้างไว้อาศัย
ป่ามหาวัน พึงทราบว่า " เป็นพระคันธกุฎีสำหรับพระผู้มีพระภาค-
พุทธเจ้า."
[ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอสุภกรรมฐานแก่พวกภิกษุ ]
หลายบทว่า อเนกปริยาเยน อสุภกถํ กเถติ มีความว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงกถาเป็นที่ตั้งแห่งความเบื่อหน่ายในกาย
ซึ่งเป็นไปด้วยอำนาจแห่งความเล็งเห็นอาการอันไม่งามด้วยเหตุมากมาย.
ทรงแสดงอย่างไร ? ทรงแสดงว่า " มีอยู่ในกายนี้ คือ ผม ขน
ฯ ล ฯ มูตร." มีคำอธิบายอย่างไร ? มีคำอธิบายอย่างนี้ว่า " ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ! บางคน เมื่อค้นหาดูแม้ด้วยความเอาใจใส่ในทุกอย่างใน
กเลวระมีประมาณวาหนึ่ง จะไม่เห็นสิ่งอะไร ๆ จะเป็นแก้วมุกดา
หรือแก้วมณี แก้วไพฑูรย์หรือกฤษณา แก่นจันทน์ หรือกำยาน
การบูร หรือบรรดาเครื่องหอมมีจุณณ์สำหรับอบเป็นต้นอย่างใดอย่าง-
หนึ่งก็ตามที ซึ่งเป็นของสะอาด แม้มาตรว่าน้อย; โดยที่แท้ จะ
เห็นแต่ของไม่สะอาดมีประการต่าง ๆ มีผมและขนเป็นต้นเท่านั้น ซึ่ง
มีกลิ่นเหม็นอย่างยิ่ง น่าเกลียด มีการเห็นไม่เป็นมิ่งขวัญ; เพราะ
เหตุนั้น จึงไม่ควรทำความพอใจ หรือความรักใคร่ในกายนี้. อันที่จริง
ขึ้นชื่อว่าผมแม้เหล่าใด ซึ่งเกิดบนศีรษะ อันเป็นอวัยวะสูงสุด, แม้
ผมเหล่านั้น ก็เป็นของไม่งามเหมือนกัน ทั้งไม่สะอาด ทั้งเป็นของ
ปฏิกูล, ก็แล ข้อที่ผมเหล่านั้นเป็นของไม่งาม ไม่สะอาด และเป็น
ของปฏิกูลนั้น พึงทราบโดยเหตุ 5 อย่าง คือ โดยสีบ้าง โดยสันฐาน
บ้าง โดยกลิ่นบ้าง โดยที่อยู่บ้าง โดยโอกาสบ้าง; ข้อที่ส่วนทั้งหลาย
มีขนเป็นต้น เป็นของไม่งาม ไม่สะอาด และเป็นของปฏิกูล ก็
พึงทราบด้วยอาการอย่างนี้แล. ความสังเขปในอธิการแห่งตติยปาราชิก
นี้มีเท่านี้. ส่วนความพิสดารพึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้ว ในปกรณ์วิเสส
ชื่อวิสุทธิมรรค. พระผู้มีพระภาค ตรัสอสุภกถาในส่วนอันหนึ่ง ๆ
โดยอเนกปริยาย มีประเภทส่วนละ 5 ๆ ด้วยประการฉะนี้.
ข้อว่า อสุภาย วณฺณํ ภาสติ มีความว่า พระองค์ทรงตั้ง
อสุภมาติกา ด้วยอำนาจแห่งอุทธุมาตกอสุภะเป็นต้นมาแล้ว เมื่อจะทรง
จำแนก คือทรงพรรณนา สังวรรณนา อสุภมาติกานั้น ด้วยบทภาชนีย์
จึงตรัสคุณานิสงส์แห่งอสุภะ.
ข้อว่า อสุภภาวนาย วณฺณํ ภาสติ มีความว่า ความอบรม
คือความเจริญ ความเพิ่มเติมจิต ที่ถือเอาอาการอันไม่งาม ในส่วน
ทั้งหลายมีผมเป็นต้น หรือในอสุภะมีอุทธุมาตกอสุภะเป็นต้น หรือในวัตถุ
ภายในและภายนอกทั้งหลาย เป็นไป นี้ใด; พระองค์จะทรงแสดง
อานิสงส์แห่งอสุภภาวนานั้น จึงตรัสสรรเสริญ คือทรงประกาศคุณ.
ตรัสอย่างไรเล่า ? ตรัสว่า " ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุผู้ประกอบ
เฉพาะซึ่งอสุภภาวนา ในวัตถุมีผมเป็นต้น หรือในวัตถุมีอุทธุมาตก-
อสุภะเป็นต้น ย่อมได้เฉพาะซึ่งปฐมฌาน อันองค์ละ 5 ประกอบ
ด้วยองค์ 5 มีความงาม 3 อย่าง และถึงพร้อมด้วยลักษณะ 10,
ภิกษุนั้น อาศัยหีบใจ กล่าวคือปฐมฌานนั้น เจริญวิปัสสนา ย่อม
บรรลุพระอรหัต ซึ่งเป็นประโยชน์สูงสุด."
[ ปฐมฌานมีลักษณะ 10 และความงาม 10 ]
บรรดาความงาม 3 และลักษณะ 10 เหล่านั้น ลักษณะ
10 แห่งปฐมฌานเหล่านี้ คือ ความหมดจดแห่งจิตจากธรรมที่เป็น
อันตราย 1 ความปฏิบัติสมาธินิมิตอันเป็นท่ามกลาง 1 ความแล่นไป
แห่งจิตในสมาธินิมิตนั้น 1 ความเพิกเฉยแห่งจิตที่หมดจด 1 ความ
เพิกเฉยแห่งจิตที่ดำเนินถึงความสงบ 1 ความเพิกเฉยแห่งจิตที่ปรากฏ
ด้วยอารมณ์อันเดียว 1 ความผุดผ่องด้วยอรรถ คือความไม่กลับกลาย
แห่งธรรมทั้งหลายที่เกิดในฌานจิตนั้น 1 ความผุดผ่องด้วยอรรถ คือ
ความที่อินทรีย์ทั้งหลายมีรสเป็นอันเดียวกัน 1 ความผุดผ่องด้วยอรรถ
คือความเป็นไปแห่งความเพียร อันสมควรแก่สมาธิปัญญาและอินทรีย์
ซึ่งเป็นธรรมไม่กลับกลาย และมีรสเป็นอันเดียวกันนั้น 1 ความผุดผ่อง
ด้วยอรรถ คือความเสพคุ้น 1.
บาลี1ในวิสัยเป็นที่เปิดเผยลักษณะ 10 นั้น ดังนี้ :-
อะไรเป็นเบื้องต้น อะไรเป็นท่ามกลาง อะไรเป็นที่สุดแห่งปฐมฌาน ?
ความหมดจดแห่งปฏิปทาเป็นเบื้องต้น ความเพิ่มพูนเป็นอุเบกขา เป็น
ท่ามกลาง ความผุดผ่อง เป็นที่สุดแห่งปฐมฌาน.
ความหมดจดแห่งปฏิปทา เป็นเบื้องต้นแห่งปฐมฌาน, เบื้องต้น
มีลักษณะเป็นเท่าไร ? เบื้องต้นมีลักษณะ 3. ธรรมใดเป็นอันตราย
ของจิตนั้น จิตย่อมหมดจดจากธรรมนั้น จิตย่อมดำเนินไปสู่สมาธินิมิต
อันเป็นท่ามกลาง เพราะค่าที่เป็นธรรมชาตหมดจด จิตแล่นไปใน
สมาธินิมิต (ซึ่งเป็นโคจรแห่งอัปปนา) นั้น เพราะความเป็นธรรมชาต
ดำเนินไปแล้ว. จิตหมดจดจากธรรมที่เป็นอันตราย 1 จิตดำเนินไปสู่
สมาธินิมิตอันเป็นท่ามกลาง เพราะค่าที่เป็นธรรมชาตหมดจด 1 จิต
แล่นไปในสมาธินิมิตนั้น เพราะเป็นธรรมชาตดำเนินไป 1 เป็นปฏิปทา
วิสุทธิซึ่งเป็นเบื้องต้นแห่งปฐมฌาน; เบื้องต้นมีลักษณะ 3 เหล่านี้.
เพราะเหตุนั้น ปฐมฌานท่านจึงกล่าวว่า ' เป็นคุณชาตงามในเบื้องต้น
และถึงพร้อมด้วยลักษณะ 3. '
ความเพิ่มพูนอุเบกขา เป็นท่ามกลางแห่งปฐมฌาน, ท่ามกลาง
มีลักษณะเท่าไร ? ท่ามกลางมีลักษณะ 3. จิตหมดจดย่อมเพิกเฉย
จิตดำเนินถึงความสงบ ย่อมเพิกเฉย จิตปรากฏด้วยอารมณ์อันเดียว
ย่อมเพิกเฉย. จิตหมดจดเพิกเฉย 1 จิตดำเนินถึงความสงบเพิกเฉย 1
จิตปรากฏด้วยอารมณ์อันเดียวเพิกเฉย 1 เป็นความเพิ่มพูนอุเบกขา
ซึ่งเป็นท่ามกลางแห่งปฐมฌาน; ท่ามกลางมีลักษณะ 3 เหล่านี้.
1. ปฏิ. ขุ. 31/252-3.
เพราะเหตุนั้น ปฐมฌานท่านจึงกล่าวว่า ' เป็นคุณชาตงามในท่ามกลาง
และถึงพร้อมด้วยลักษณะ 3. '
ความผุดผ่อง เป็นที่สุดแห่งปฐมฌาน ที่สุดมีลักษณะเท่าไร ?
ที่สุดมีลักษณะ 4. ความผุดผ่องด้วยอรรถ คือความไม่กลับกลาย
แห่งธรรมทั้งหลาย ที่เกิดในฌานจิตนั้น 1 ความผุดผ่องด้วยอรรถ
คือความที่อินทรีย์ทั้งหลายมีรสเป็นอันเดียวกัน 1 ความผุดผ่องด้วยอรรถ
คือความเป็นไปแห่งความเพียร อันสมควรแก่สมาธิปัญญาและอินทรีย์
ซึ่งเป็นธรรมไม่กลับกลาย และมีรสเป็นอันเดียวกันนั้น 1 ความผุดผ่อง
ด้วยอรรถ คือความเสพคุ้น 1. ความผุดผ่อง เป็นที่สุดแห่งปฐมฌาน;
ที่สุดมีลักษณะ 4 เหล่านี้. เพราะเหตุนั้นปฐมฌานท่านจึงเรียกว่า ' เป็น
คุณชาตงามในที่สุด และถึงพร้อมด้วยลักษณะ 4. ' จิตที่ถึงความเป็น
ธรรมชาต 3 อย่าง มีความงาม 3 อย่าง ถึงพร้อมด้วยลักษณะ 10 ย่อม
เป็นจิตถึงพร้อมด้วยวิตก ถึงพร้อมด้วยวิจาร ปีติ และสุข ถึงพร้อม
ด้วยการตั้งมั่นแห่งจิต ถึงพร้อมด้วยศรัทธา และเป็นจิตที่ถึงพร้อมวิริยะ
สติ สมาธิ และปัญญา ด้วยประการฉะนี้.
ข้อว่า อาทิสฺส อาทิสฺส อสุภสมาปตฺติยา วณฺณํ ภาสติ
มีความว่า พระผู้มีพระภาคตรัสสรรเสริญ คือตรัสอานิสงส์ ทรงประ-
กาศคุณแห่งอสุภสมาบัติ เพราะทรงทำการกำหนดอ้างถึงบ่อย ๆ ว่า
" เป็นอย่างนั้นบ้าง เป็นอย่างนี้บ้าง. " ตรัสอย่างไร ? ตรัสอย่างนี้ว่า
" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อภิกษุมีจิตอบรมด้วยอสุภสัญญาอยู่เนือง ๆ
จิต ย่อมงอ หดเข้า หวนกลับจากความเข้าประชิดด้วยเมถุนธรรม