เมนู

อรรถกถาพระวินัย
ชื่อสมันตปาสาทิกาแปล
มหาวิภังควรรณนา
ภาค 1
อารัมภกถา
* ข้าพเจ้าขอถวายนมัสการแด่พระผู้เป็นที่พึ่ง
ผู้ประกอบด้วยพระมหากรุณา พระองค์ผู้ทรง
กระทำกรรมที่ทำได้ยากยิ่ง ตลอดกาลซึ่งจะ
นับประมาณมิได้ แม้ด้วยหลายโกฏิกัป ทรง
ถึงความยากลำบาก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่
สัตวโลก. ข้าพเจ้าขอถวายนมัสการแก่พระ
ธรรมอันประเสริฐ อันขจัดเสียซึ่งข่ายคือกิเลส
มีอวิชชาเป็นต้น ที่พระพุทธเจ้าทรงเสพอยู่เป็น
นิตย์ ซึ่งสัตวโลกเมื่อไม่หยั่งรู้ต้องท่องเที่ยวไป
สู่ภพน้อยและภพใหญ่. ข้าพเจ้าขอถวายนมัส-
การด้วยเศียรเกล้า ซึ่งพระอริสงฆ์ ผู้ประกอบ


* องค์การศึกษาแผนกบาลี แปลออกสอบในสนามหลวง พ.ศ. 2489-2506

ด้วยคุณ มีศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ และ
วิมุติญาณทัสนะเป็นเค้ามูล เป็นเนื้อนาบุญของ
เหล่าชนผู้มีความต้องการด้วยกุศล. ข้าพเจ้า
นมัสการอยู่ ซึ่งพระรัตนตรัยอันควรนมัสการ
โดยส่วนเดียว ด้วยประการดังกล่าวมานี้ ได้
แล้วซึ่งกุศลผลบุญที่ไพบูล หลั่งไหลไม่ขาด
สายอันใด ด้วยอานุภาพแห่งกุศลผลบุญนั้น
ขอข้าพเจ้าจงเป็นผู้ปลอดอันตราย. ข้าพเจ้า
จักอาศัยอานุภาพของท่านบูรพาจารย์พรรณนา
พระวินัยให้ไม่ปะปนกัน ซึ่งเมื่อทรงอยู่แล้ว
ศาสนาของพระพุทธเจ้า ผู้มิได้ทรงตั้งมั่นอยู่
(ในส่วนสุดทั้งสอง) แต่ทรงดำรงชอบด้วยดี
(ในมัชฌิมาปฏิปทา) เป็นอันประดิษฐานอยู่ได้.
แท้ที่จริง พระวินัยนี้ ถึงท่านบูรพาจารย์ผู้
องอาจ ซึ่งขจัดมลทินและอาสวะออกหมดแล้ว
ด้วยน้ำคือญาณ มีวิชาและปฏิสัมภิทาบริสุทธิ์
ฉลาดในการสังวรรณนาพระสัทธรรม หาผู้
เปรียบปานในความเป็นผู้ขัดเกลาได้ไม่ง่าย
เปรียบดังธงชัยของวัดมหาวิหาร ได้สังวรรณนา
ไว้โดยนัยอันวิจิตร คล้อยตามพระสัมพุทธเจ้า
ผู้ประเสริฐ. กระนั้น เพราะสังวรรณนานี้ มิได้

อำนวยประโยชน์ไร ๆ แก่ชาวภิกษุในเกาะอื่น
เพราะท่านเรียบเรียงไว้ด้วยภาษาชาวเกาะสิงหล
ฉะนั้น ข้าพเจ้าผู้รำลึกอยู่ด้วยดีโดยชอบ ถึง
คำเชิญของพระเถระนามว่า พุทธสิริ จึงจัก
เริ่มด้วยดี ซึ่งการสังวรรณนานี้ อันควรแก่นัย
พระบาลี ณ บัดนี้. และเมื่อจะเริ่มด้วยดี ซึ่ง
สังวรรณนานั้น จักเอามหาอรรถกถาเป็นโครง
ของสังวรรณนานั้น ไม่ละข้อความอันควร
แม้จากวินิจฉัย ซึ่งท่านกล่าวไว้ในอรรถกถา
มหาปัจจรี และอรรถกถาอันปรากฏด้วยดีโดย
ชื่อว่ากุรุนทีเป็นต้น กระทำเถรวาทไว้ในภายใน
แล้ว จึงจักเริ่มด้วยดีโดยชอบซึ่งสังวรรณนา.
ขอภิกษุทั้งหลายปูนเถระ ปูนใหม่ และปาน
กลาง ผู้มีจิตเลื่อมใสเคารพนับถือพระธรรม
ของพระตถาคตเจ้า ผู้มีดวงประทีปคือพระธรรม
จงตั้งใจฟังสังวรรณนานั้นของข้าพเจ้า โดย
เคารพเถิด.
พระอรรถกถาจารย์ชาวสิงหล มิได้ละมติ
(อธิบาย) ของท่านพุทธบุตรทั้งหลาย ผู้รู้
ธรรมวินัย เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
ได้แต่งอรรถกถาในปางก่อน. เพราะเหตุนั้นแล

คำที่ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาทั้งหมด ยกเว้น
คำที่เขียนด้วยความพลั้งพลาดเสีย ย่อมเป็น
ประมาณแห่งบัณฑิตทั้งหลายผู้มีความเคารพใน
สิกขาในพระศาสนานี้. ก็เพราะแม้วรรณนา
นี้ จะแสดงข้อความแห่งคำทั้งหลายที่มาในพระ
สุตตันตะให้เหมาะสมแก่พระสูตร ละทิ้งภาษา
อื่นจากอรรถกถานั้นเสียทีเดียว และย่นพล
ความพิสดาร (คำประพันธ์ที่พิสดาร) ให้
รัดกุมเข้า ก็จักไม่ให้เหลือไว้ ซึ่งข้อวินิจฉัย
ทั้งปวง ไม่ข้ามลำดับพระบาลีที่เป็นแบบแผน
อย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น บัณฑิตควร
ตามศึกษาวรรณนานี้โดยเอื้อเฟื้อแล ฯ1

เพราะข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ในคาถาเหล่านั้นว่า " จักพรรณนาพระ
วินัย " ดังนี้ ผู้ศึกษาควรกำหนดพระวินัยก่อนว่า " วินัยนั้น คืออะไร ? "
เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวคำนี้ว่า " ที่ชื่อว่า วินัย ในที่นี้ประสงค์

1. นย. สารตฺถทีปนี 1/43-47 ว่า เพราะแม้วรรณนานี้ ซึ่งจะแสดงข้อความแห่งถ้อยคำอัน
มาในพระสุตตันตะให้เหมาะสมกับพระสูตร ข้าพเจ้าก็จักละภาษาอื่นจากอรรถกถานั้นเสียเลย และ
ย่นพลความที่พิสดารให้รัดกุมเข้า ไม่ละทิ้งข้อวินิจฉัยทั้งปวงให้เหลือไว้ ไม่ข้ามลำดับพระบาลีที่
เป็นแบบแผนอะไร ๆ แล้วจักรจนา, เพราะฉะนั้น ผู้ศึกษาควรตั้งใจสำเหนียกวรรณนานี้แล.

เอาวินัยปิฎกทั้งสิ้น. " ก็เพื่อจะสังวรรณนาพระวินัยนั้น ข้าพเจ้าจะกล่าว
มาติกาดังต่อไปนี้ว่า
" พระวินัยปิฎกนี้ ผู้ใดกล่าวไว้ กล่าวในกาล
ใด กล่าวไว้เพราะเหตุใด ผู้ใดทรงไว้ ผู้ใด
นำสืบมา และตั้งอยู่แล้วในบุคคลใด ข้าพเจ้า
กล่าววิธีนี้แล้ว ภายหลังจักแสดงเนื้อความ
แห่งปาฐะว่า "เตน" เป็นต้น โดยประการต่าง ๆ
ทำการพรรณนาอรรถแห่งพระวินัย. "

บรรดามาติกาเหล่านั้น คำว่า " วุตฺตํ เยน ยทา ยสฺมา " นี้
ท่านอาจารย์กล่าวหมายเอาคำมีอาทิอย่างนี้ก่อนว่า " โดยสมัยนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ( ณ โคนต้นไม้สะเดาอันนเฬรุยักษ์สิง
สถิต ) ใกล้เมืองเวรัญชา1. " เพราะคำนี้มิใช่เป็นคำที่กล่าวให้ประจักษ์
กับพระองค์เองแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า.2 เพราะฉะนั้น บัณฑิตจึง
ควรกล่าวตั้งปัญหานั่นดังนี้ ว่า " คำนี้ใครกล่าวไว้ กล่าวไว้ในกาลไหน
และเพราะเหตุไร จึงกล่าวไว้. " (แก้ว่า) "คำนี้ท่านพระอุบาลี
เถระกล่าวไว้ " ก็แลคำนั้น ท่านพระอุบาลีเถระกล่าวไว้ในคราวทำ
ปฐมมหาสังคีติ (ในคราวทำสังคายนาใหญ่ครั้งแรก). อันชื่อว่า ปฐม-

1. วิ. มหา. 1/1 2. นย. สารตฺถทีปนี 1/39 ว่า คือมิใช่เป็นพระดำรัสที่พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสไว้ หรือเป็นคำที่ท่านกล่าวไว้ในเวลาที่พระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่.



มหาสังคีตินี้ พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายได้กล่าวแล้วในปัญจสติก-
สังคีติขันธกะแม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น1 เพื่อความเป็นผู้ฉลาดในนิทาน
บัณฑิตควรทราบตามนัยนี้ แม้ในอรรถกถานี้

1. วิ. จุลฺ. 7/379.