ปัญจมสัมนตปาสาทิกา
ปริวาร วัณณนา
[461] วินัยใด อันพระเถระทั้งหลายจัดเข้าหมวดโดยชื่อว่า
บริวาร เป็นลำดับแห่งขันธกะทั้งหลาย ในศาสนาของพระผู้มีพระภาค
ผู้มีบริวารสะอาด มีกองธรรมเป็นพระสรีระ, บัดนี้ข้าพเจ้าจักละนัย
อันมาแล้วในหนหลังเสีย จักทำการพรรณนาเนื้อความที่ไม่ตื้นแห่ง
วินัยที่ชื่อว่าบริวารนั้น.
[โสฬสมหาวารวัณณนาในอุภโตวิภังค์]
เนื้อความสังเขปแห่งปุจฉา ที่เป็นไปโดยนัยเป็นต้นว่า ยนฺเตน
ภควตา ฯ เป ฯ ปญฺญตฺตํ ในคัมภีร์บริวารนั้น ถึงทราบดังต่อไปนี้
ก่อน :-
พระผู้มีพระภาคนั้นพระองค์ใด ผู้อันพระธรรมเสนาบดีประ-
ดิษฐานไว้แล้วซึ่งอัญชลี อันกำลังแห่งความเคารพและนับถือมากใน
พระสัทธรรมเชิดขึ้นแล้ว เหนือเศียรเกล้า ทูลวิงวอนแล้ว จึงทรง
แต่งตั้งวินัยบัญญัติ อาศัยอำนาจประโยชน์ 10 ประการ เพื่อความ
ตั้งอยู่ยืนนานของพระศาสนา . พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้รู้กาลที่
บัญญัติสิกขาบทนั้น ๆ ผู้เห็นอำนาจประโยชน์ 10 ประการแห่งสิกขา-
บทบัญญัตินั้น ๆ อีกอย่างหนึ่ง ผู้รู้ด้วยญาณทั้งหลาย มีปุพเพนิวาส-
ญาณเป็นต้น ผู้เห็นด้วยทิพพจักษุ ผู้รู้ด้วยวิชชา 3 หรือด้วยอภิญญา 6
ผู้เห็นด้วยสมันตจักษุ อันหาสิ่งใดขัดขวางมิได้ในธรรมทั้งปวง ผู้รู้
ด้วยปัญญา ซึ่งสามารถรู้ธรรมทั้งมวล ผู้เห็นแม้ซึ่งรูปทั้งหลาย
ที่อยู่ในภายนอกฝาเป็นต้น ซึ่งล่วงวิสัยจักษุแห่งสัตว์ทั้งปวง ด้วยมังส-
จักษุอันผ่องใสยิ่งนัก ผู้รู้ด้วยปัญญาเครื่องแทงตลอด มีสมาธิเป็น
ปทัฏฐาน ยังประโยชน์ตนให้สำเร็จ [462] ผู้เห็นด้วยเทศนาปัญญา
มีกรุณาเป็นปทัฏฐาน ยังประโยชน์ผู้อื่นให้สำเร็จ ผู้เป็นพระอรหันต์
ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงบัญญัติปฐมปาราชิกใดไว้, ปฐมปาราชิก
นั้น ทรงบัญญัติที่ไหน ? ทรงปรารภใคร จึงบัญญัติ ? ทรงบัญญัติ
เพราะเรื่องอะไร ? ในปฐมปาราชิกนั้น มีบัญญัติหรือ ? ฯ ล ฯ ปฐม-
ปาราชิกนั้น ใครนำมาแล้ว ?
แต่คำว่า ยนฺเตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมา-
สมฺพุทฺเธน ปฐนํ ปาราชิกํ นี้ เป็นแต่เพียงคำขยายของบทต้น ที่
มาแล้วในปุจฉาอย่างเดียว ในวาระคำถามและคำตอบเท่านั้น.
ก็แลในวาระคำถามและคำตอบนี้ พึงถามแล้วตอบทีละบท ๆ
แม้อีกเทียว โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า "ถามว่า ปฐมปาราชิกทรง
บัญญัติที่ไหน ? ตอบว่า ทรงบัญญัติทีกรุงเวสาลี ทรงปรารภใคร ?
ทรงปรารภพระสุทินน์ กลันทบุตร."
ข้อว่า เอกา ปญฺญตฺติ มีความว่า บัญญัติที่ว่า "ก็ภิกษุใด
พึงเสพเมถุนธรรม ภิกษุนั้น เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้ " นี้ เป็น
บัญญัติอันหนึ่ง.
ข้อว่า เทฺว อนุปญฺญตฺติโย มีความว่า อนุบัญญัติ 2 นี้
ที่พระผู้มีพระภาคตรัส ด้วยอำนาจแห่งเรื่องนางลิงว่า อนฺตมโส
ติรจฺฉานคตานปิ และเรื่องภิกษุวัชชีบุตรว่า สิกฺขํ อปจฺจกฺขาย.
ปุจฉานี้ว่า "ในปฐมปาราชิกนั้น มีบัญญัติหรือ ? มีอนุบัญญัติ
หรือ ? มีอนุปันนบัญญัติหรือ ?" เป็นอันวิสัชนาแล้ว 2 ส่วน ด้วย
คำมีประมาณเท่านี้. ก็แลเพื่อวิสัชนาส่วนที่ 3 ท่านจึงกล่าวว่า "ใน
ปฐมปาราชิกนั้น ไม่มีอนุปันนบัญญัติ." จริงอยู่ ที่ชื่อว่าอนุปันน-
บัญญัตินี้ ได้แก่ ข้อที่ทรงบัญญัติในเมื่อโทษยังไม่เกิดขึ้น อนุปันน-
บัญญัตินั้นไม่มี นอกจากที่มาด้วยอำนาจครุธรรม 8 ของภิกษุณี
ทั้งหลายเท่านั้น เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า "ในปฐมปาราชิกนั้น
ไม่มีอนุปัสนาบัญญัติ."
ข้อว่า สพฺพตฺถ ปญฺญตฺติ นั้น ได้แก่ บัญญัติในที่ทั้งปวง
ทั้งในมัชฌิมประเทศ ทั้งในปัจจันตชนบททั้งหลาย.
จริงอยู่ 4 สิกขาบทนี้ คือ อุปสมบทด้วยคณะมีพระวินัยธร
เป็นที่ 5, [463] รองเท้าตั้งแต่ 4 ชั้นขึ้นไป, การอาบน้ำเป็นนิตย์,
เครื่องลาดคือหนัง ทรงบัญญัติเฉพาะในมัชฌิมประเทศเท่านั้น,
เป็นอาบัติ เพราะสิกขาบทเหล่านั้น ในมัชฌิมประเทศเท่านั้น ใน
ปัจจันตชนบททั้งหลาย หาเป็นอาบัติไม่. สิกขาบทที่เหลือทั้งหมด
ทีเดียว ชื่อว่า สัพพัตถบัญญัติ.
ข้อ สาธารณปญฺญตฺติ นั้น ได้แก่ พระบัญญัติที่ทั่วถึง
แก่ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลาย.
จริงอยู่ สิกขาที่ทรงบัญญัติเฉพาะแก่ภิกษุล้วน หรือภิกษุณี
ล้วน เป็นอสาธารณบัญญัติ. ส่วนสิกขาบทที่ว่า ยา ปน ภิกฺขุนี
ฉนฺทโส เมถุนํ ธมฺมํ ปฏิเสเวยฺย อนฺตมโส ติรจฺฉานคเตปิ
ปาราชิกา โหติ อสํวาสา นี้ พระผู้มีพระภาคทรงปรารภภิกษุ
ทั้งหลาย บัญญัติแล้ว แม้แก้ภิกษุณีทั้งหลาย ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้น
แล้ว จริงอยู่ เพียงแต่เรื่องเทียบเคียงเท่านั้น ของภิกษุณีทั้งหลาย
เหล่านั้นไม่มี. แต่สิกขาบทมี. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า "ปฐม-
ปาราชิกเป็นสาธารณบัญญัติ."
แม้ในอุภโตบัญญัติ ก็มีนัยเหมือนกัน. จริงอยู่ ในอุภโตบัญญัติ
นี้ ต่างกันแต่เพียงพยัญชนะเท่านั้น. ปฐมปาราชิก จัดเป็นสาธารณ-
บัญญัติ เพราะเป็นสิกขาบทที่ทั่วถึงทั้งแก่ภิกษุทั้งหลาย ทั้งแก่ภิกษุณี
ทั้งหลาย จัดเป็นอุภโตบัญญัติ เพราะเป็นสิกขาบทที่ทรงบัญญัติ
แก่ภิกษุและภิกษุณีทั้ง 2 ฝ่าย ฉะนี้แล. ส่วนในใจความ ไม่มีความ
ต่างกันเลย.
บทว่า นิทาโนครํ มีความว่า ชื่อว่าหยั่งลงในนิทาน คือ
นับเข้าในนิทาน เพราะอาบัติทั้งปวงนับเข้าในนิทานุทเทสนี้ว่า ยสฺส
สิยา อาปตฺติ, โส อาวักเรยฺย.
สองบทว่า ทุติเยน อุทฺเทเสน มีความว่า ปฐมปาราชิกนี้
หยั่งลงในนิทาน คือ แม้นับเรื่องในนิทานก็จริง แต่ย่อมไม่มาสู่
อุทเทส โดยอุทเทสที่ 2 เท่านั้น ดังนี้ว่า ตตฺรึเม จตฺตาโร ปาราชิกา
ธมฺมา เป็นอาทิ.
สองบทว่า จตุนฺนํ วิปตฺตีนํ ได้แก่ บรรดาวิบัติทั้งหลายมี
สีลวิบัติเป็นต้น.
จริงอยู่ อาบัติ 2 กองต้น ชื่อว่าสีลวิบัติ. 5 กองที่เหลือ ชื่อ
ว่าอาจารวิบัติ, มิจฉาทิฏฐิและอันตคาหิกทิฏฐิ ชื่อว่าทิฏฐิวิบัติ
[464] สิกขาบท 6 ที่ทรงบัญญัติเพราะอาชีวะเป็นเหตุ ชื่อว่าอาชีว-
วิบัติ. บรรดาวิบัติ 4 เหล่านี้ ปาราชิกนี้ จัดเป็นสีลวิบัติ ด้วย
ประการฉะนี้.
ข้อว่า เอเกน สมุฏฺฐาเนน มีความว่า ปฐมปาราชิกนี้ เกิด
ขึ้นด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง มีองค์ 2 (คือกายกับจิต).
จริงอยู่ ในองค์ 2 นี้ จิตเป็นองค์, แต่ภิกษุย่อมต้องอาบัติด้วย
กาย. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า "ย่อมเกิดขึ้นแต่กายและจิต."
ข้อว่า ทฺวีหิ สมเถหิ มีความว่า ภิกษุผู้ถูกถามอยู่พร้อมหน้า
กันว่า "ท่านเป็นผู้ต้องหรือ ?" จึงปฏิญญาว่า "จริง ข้าพเจ้าเป็น
ผู้ต้องแล้ว." ความบาดหมาง ความทะเลาะ และความแก่งแย่ง เป็น
อันสงบในทันทีนั้นเอง, ทั้งอุโบสถหรือปวารณา ย่อมเป็นกรรมอัน
สงฆ์อาจกำจัดบุคคลนั้นเสียแล้วกระทำได้; เพราเหตุนั้น อธิกรณ์
นั้นจึงระงับด้วยสมถะ 2 คือ สัมมุขาวินัย 1 ปฏิญญาตกรณะ 1.
และอุปัทวะบางอย่าง ย่อมไม่มี เพราปัจจัยคือการกำจัดบุคคลนั้น.
ส่วนคำใดที่ท่านกล่าวไว้ ในปัญญัตติวัคค์ถัดไปว่า กตเมน
สมเถน สมฺมติ คำนั้น ท่านกล่าวหมายเอาเนื้อความนี้ว่า "อนาบัติ
อันภิกษุไม่อาจเพื่อให้หยั่งลงสู่สมถะแล้วกระทำได้."
ข้อว่า ปญฺญตฺติ วินโย มีความว่า บัญญัติมีมาติกาที่ตรัสไว้
โดยนัยมีคำว่า โย ปน ภิกฺขุ เป็นอาทิ เป็นวินัย.
บทภาชนะ เรียกว่า วิภัตติ คำว่า วิภัตติ นั่น เป็นชื่อแห่ง
วิภังค์.
ความละเมิด ชื่อว่า ความไม่สังวร. ความไม่ละเมิด ชื่อว่า
สังวร.
ข้อว่า เยสํ วตฺตติ มีความว่า วินัยปิฎกและอรรถกถา ของ
พระมหาเถระเหล่าใด เป็นคุณแคล่วคล่องทั้งหมด.
ข้อว่า เต ธาเรนฺติ มีความว่า พระมหาเถระเหล่านั้น ย่อม
ทรงไว้ซึ่งปฐมปาราชิกนั่นทั้งโดยบาลี ทั้งโดยอรรถกถา.
จริงอยู่ เนื้อความแห่งปฐมปาราชิกนั่น อันบุคคลผู้ไม่รู้วินัย-
ปิฎกทั้งหมด ไม่อาจทราบได้.
ข้อว่า เกนาภฏํ มีความว่า ปฐมปาราชิกนี้ ใครนำมาด้วย
อำนาจบาลี และด้วยอำนาจอรรถกถา ตลอดกาลจนทุกวันนี้ ?
ข้อว่า ปรมฺปรากฏํ มีความว่า อันพระมหาเถระทั้งหลายนำ
มาด้วยสืบลำดับกัน.
ปฐมปาราชิกนี้ อันพระมหาเถระทั้งหลายนำมาด้วยสืบลำดับกัน