[159] วัสสูปนายิกขันธก วรรณา
วินิจฉัยในเรื่องวัสสูปนายิกขันธกะ พึงทราบดังนี้ :-
บทว่า อปฺปญฺญตฺโต ได้แก่ ยังมิได้ทรงอนุญาต หรือว่ายัง
มิได้ทรงจัด.
สองบทว่า เตธ ภิกฺขู ได้แก่ ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น, อิธ
ศัพท์ เป็นเพียงนิบาต.
สัตว์ทั้งหลายผู้อาจไปในอากาศชื่อว่านก.
บทว่า สงฺกาสยิสฺสนฺติ ความว่า นกทั้งหลาย ก็จักขวนขวาย-
น้อย อยู่ประจำที่.
สองบทว่า สงฺฆาตํ อาปาเทนฺตา ได้แก่ ให้ถึงความพินาศ.
หลายบทว่า วสฺสาเน วสฺสํ อุปคนฺตุํ ความว่า เพื่อเข้า
จำพรรษา ตลอด 3 เดือนในฤดูฝน.
หลายบทว่า กติ นุ โข วสฺสูปนายิกา ความว่า วันเข้าพรรษา
มีเท่าไรหนอ ?
วินิจฉัยในคำว่า อุปรชฺชุคตาย อาสกฬฺหิยา พึงทราบดังนี้ :-
วันหนึ่ง แห่งดิถีเพ็ญเดือนอาสาฬหะนั้น ซึ่งล่วงไปแล้ว เพราะ
เหตุนั้น ดิถีเพ็ญเดือนอาสาฬหะนั้น จึงชื่อว่า มีวันหนึ่งล่วงไปแล้ว. เมื่อ
ดิถีเพ็ญเดือนอาสาฬหะนั้นล่วงไปแล้ว คือก้าวล่วงแล้ววันหนึ่ง.
อธิบายว่า ในวันแรมค่ำ 1.
แม้ในนัยที่ 2 ก็มีความว่า เดือนหนึ่งแห่งดิถีเพ็ญเดือนอาสาฬหะ
นั้น ซึ่งล่วงไปแล้ว เพราะเหตุนั้น ดิถีเพ็ญเดือนอาสาฬหะนั้น จึงชื่อว่า
มีเดือนหนึ่งล่วงไปแล้ว. เมื่อดิถีเพ็ญเดือนอาสาฬนะนั้นล่วงไปแล้ว คือ
ก้าวล่วงแล้วเดือนหนึ่ง. อธิบายว่า เมื่อเดือนหนึ่งเต็มบริบูรณ์. เพราะ
เหตุนั้น ในวันแรมค่ำ 1 ซึ่งถัดจากวันกลางเดือน 8 หรือในวันแรม
ค่ำ 1 ซึ่งถัดจากวันกลางเดือน 9 จากเพ็ญเดือน 8 นั่นแล อันภิกษุ
ผู้จะจำพรรษา พึงจัดแจงวิหารแล้วตั้งน้ำใช้ไว้ พึงทำสามีจิกรรมมี
กราบไหว้พระเจดีย์เป็นต้นทั้งปวงให้เสร็จแล้ว พึงเปล่งวาจาว่า อมิสฺมึ
วิหาเร อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ ดังนี้ ครั้งหนึ่งหรือสองครั้งแล้ว
จำพรรษาเถิด.
วินิจฉัยในคำว่า โย ปกฺกเมยฺย นี้ พึงทราบดังนี้ :-
พึงทราบว่า ต้องอาบัติ เพราะไม่มีอาลัย หรือเพราะให้อรุณ
ขึ้นในที่อื่น.
วินิจฉัยในคำว่า โย อติกฺกเมยฺย นี้ พึงทราบดังนี้ :-
พึงทราบว่า เป็นอาบัติหลายตัว ด้วยนับวัด.
[160] ก็ถ้าว่า ในวันนั้น เธอเข้าไปยังอุปจารวัดร้อยตำบล
แล้วเลยไปเสีย, พึงทราบว่า เป็นอาบัติ 100 ตัว. แต่ถ้าว่า เลยอุปจาระ-
วัดไปแล้ว แต่ยังไม่ทันเข้าอุปจารวัดอื่น กลับมาเสีย พึงทราบว่า ต้อง
อาบัติตัวเดียวเท่านั้น. ภิกษุผู้ไม่จำพรรษาต้น เพราะอันตรายบางอย่าง
ต้องจำพรรษาหลัง.
สองบทว่า วสฺสํ อุกฺกฑฺฒิตุกาโม ความว่า มีพระประสงค์
จะเลื่อนเดือนต้นฤดูฝนออกไป, อธิบายว่า มีพระประสงค์จะไม่นับ
เดือน 9 จะให้นับเป็นเดือน 8 อีก.
สองบทว่า อาคเม ชุณเห มีอธิบายว่า ในเดือนอธิกมาส.
วินิจฉัยในข้อว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว ราชูนํ อนุวตฺติตุํ นี้
พึงทราบดังนี้ :-
พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตเพื่ออนุวัตรตาม ด้วยทรงทำในพระ
หฤทัยว่า "ชื่อว่าความเสื่อมเสียนิดหน่อย ย่อมไม่มีแก่ภิกษุทั้งหลาย
เพราะเลื่อนกาลฝนออกไป." เพราะฉะนั้น ภิกษุควรอนุวัตรตาม ใน
กรรมที่เป็นธรรมอย่างอื่นได้, แต่ไม่ควรอนุวัตรตามแก่ใคร ๆ ใน
กรรมอันไม่เป็นธรรม ฉะนี้แล.
[ธุระเป็นเหตุไปด้วยสัตตาหกรณียะ]
วินิจฉัยในสัตตาหกรณียะทั้งหลาย พึงทราบดังต่อไปนี้ :-
ตั้งแต่คำว่า ภิกฺขุนีสงฺฆ์ อุทฺทิสฺส เป็นต้นไป ย่อมมีความเสื่อม
ตลอดไป 3 อย่าง คือ เว็จกุฎี 1 เรือนไป 1 ศาลาเรือนไฟ 1.
โรงเก็บสิ่งของเป็นต้น ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วทีเดียว ใน
สิกขาบททั้งหลาย มีอุทโทสิตสิกขาบทเป็นต้น.
ก็โรงครัว พระผู้มีพระภาคตรัสในวัสสูปนายิกขันธกะนี้ว่า รสวตี.
คำว่า วาเรยฺยํ ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้ว ในสัญจริตสิกขาบท.
หลายบทว่า ปุรายํ สุตฺตนฺโต น ปลุชฺชติ ความว่า ตราบ
เท่าที่พระสุตตันตะนี้จะไม่สาบสูญเสีย.
ข้อว่า ปญฺจนฺนํ สตฺตาหกรณีเยน ความว่า แม้เมื่อสหธรรมิก มิได้
ส่งทูตมานิมต์ ภิกษุก็ควรไป ด้วยเหตุที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้
พิสดารข้างหน้า โดยนัยเป็นต้นอย่างนี้ว่า "เราจักแสวงหาคิลานภัต
หรือคิลานุปัฏฐากภัตหรือเภสัช แก่สธรรมิกทั้ง 5 มีภิกษุเป็นต้น
เหล่าบ้าง จักถามบ้าง จักพยาบาลบ้าง." แม้ในที่แห่งมารดาบิดา
อันพระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตไว้แล้วข้างหน้า ก็นัยนี้เหมือนกัน.
แต่ในอันธกอรรถกถาแก้ว่า "ชนทั้งหลายเหล่าใด เป็นอุปัฏฐาก
ของมารดาและบิดา ซึ่งเป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี, แม้เมื่อชนเหล่านั้น
มิได้ส่งทูตมานิมนต์ ภิกษุจะไปก็ควร." [161] คำนั้นท่านมิได้
กล่าวไว้เลย ทั้งในอรรถกถาและบาลี. เพราะฉะนั้น ไม่ควรจะถือเอา.
บทว่า ภิกฺขุภติโก ได้แก่ บุรุษผู้อยู่กับภิกษุทั้งหลายในวัดเดียวกัน.
บทว่า อุทฺริยติ ได้แก่ ชำรุด.
สองบทว่า ภรฺฑํ เฉทาปิตํ ได้แก่เครื่องทัพพสัมภาระที่เขาให้
ตัดไว้แล้ว.
บทว่า อวหราเปยฺยุํ คือพึงให้ขนมา.
วินิจฉัยในคำว่า สงฺฆกรณีเยนนี้ พึงทราบดังนี้ :-
กิจการอย่างใดอย่างหนึ่ง อันภิกษุพึงทำในเสนาสนะทั้งหลาย
มีโรงอุโบสถเป็นต้นก็ดี ในสถานที่ทรงอนุญาต มีฉัตรและไพทีแห่ง
พระเจดีย์เป็นต้นก็ดี, โดยที่สุด แม้เป็นเสนาสนะเฉพาะตัวของภิกษุ
ทุกอย่างเป็นกิจอันสงฆ์พึงทำทั้งนั้น. เพราะฉะนั้น เพื่อให้กิจนั้นสำเร็จ
ภิกษุควรไปเพื่อขนทัพพสัมภาระเป็นต้นมา หรือเพื่อให้ไวยาวัจกรให้
ค่าจ้างและรางวัลเป็นต้น แก่ชนทั้งหลาย มีช่างไม้เป็นต้น.
วินิจฉัยในรัตติเฉทซึ่งพ้นจากบาลี ในสัตตาหกรณียาธิการนี้ พึง
ทราบดังต่อไปนี้ :-
อันภิกษุอันเขามิได้นิมนต์ เพื่อประโยชน์แก่การฟังธรรม ไม่
สมควรไป. แต่ถ้าว่าภิกษุได้กระทำการนัดหมายกันไว้ก่อนแล้ว ใน
อาวาสใหญ่แห่งหนึ่งว่า "เราทั้งหลายพึงประชุมกันในวันชื่อโน้น"
ดั่งนี้, ก็ชื่อว่าเป็นผู้อันเขานิมนต์แล้วได้, จะไปก็ควร. จะไปด้วย
คิดว่า "เราจักซักย้อมจีวร" ไม่ควร. แต่ถ้าอาจารย์และอุปัชฌาย์
ใช้ไปควรอยู่. วัดอยู่ในที่ไม่ไกลนัก, เธอไปในวัดนั้นด้วยตั้งใจไว้ว่า
"เราจักกลับมาในวันนี้ทีเดียว" แต่ไม่สามารถจะมาได้ทันได้ ควร
อยู่. ย่อมไม่ได้เพื่อจะไป แม้เพื่อประโยชน์แก่อุเทสและปริปุจฉาเป็นต้น.
แต่ย่อมได้เพื่อจะไปด้วยคิดว่า "เราะจักเยี่ยมอาจารย์" ถ้าว่าอาจารย์
กล่าวกะเธอว่า "คุณจงอย่าไปในวันนี้เลย" ดังนี้, จะไม่กลับก็ควร.
ย่อมไม่ได้เพื่อจะไปเยี่ยมสกุลอุปัฏฐาก หรือสกุลของญาติ
[อันตรายเป็นเหตุหลีกไป]
บทว่า ปริปาเตนฺติปิ ความว่า พาลมฤคทั้งหลายมาแล้วโดย
รอบ ย่อมให้หนีไปบ้าง ยังความกลัวให้เกิดขึ้นบ้าง ปลงเสียจากชีวิตบ้าง.
บทว่า อาวิสนฺติ คือปีศาจทั้งหลาย ย่อมเข้าสิงสรีระ.
[162] วินิจฉัยในข้อว่า เยน คาโม เตน คนูตุํ เป็นต้น
พึงทราบดังนี้ :-
ถ้าว่าชาวบ้านเขาไปตั้งอยู่ไม่ไกล, ภิกษุพึงเที่ยวไปบิณฑบาตใน
บ้านนั้นแล้ว กลับมายังวัด จำพรรษาเถิด. ถ้าชาวบ้านไปไกล. ก็พึง
รับอรุณในวัดโดยวาระ 7 วัน ถ้าไม่สามารถเพื่อจะรับอรุณในวัดโดย
วาระ 7 วันได้, ก็พึงอยู่ในที่แห่งภิกษุผู้เป็นสภาคกันในบ้านนั้นเถิด.
ถ้าว่ามนุษย์ทั้งหลาย ถวายสลากภัตเป็นต้นตามที่เคนมา, พึง
บอกกะเขาว่า "เรามิได้อยู่ในวัดนั้น." แต่เมื่อเขาพากันกล่าวว่า
"ข้าพเจ้าทั้งหลาย มิได้ถวายแก่วัดหรือแก่ปราสาท, พระผู้เป็นจ้าอยู่
ณ ที่ใดที่หนึ่งของพระผู้เป็นเจ้าก็นิมนต์ฉันเถิด" ดังนี้, ภิกษุพึงฉัน
ได้ตามสบาย, ภัตนั้นย่อมถึงพวกเธอแท้. ก็เมื่อทายกเขากล่าวว่า
"พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย จงแจกกันฉันในที่อยู่ของพระผู้เป็นเจ้าเถิด"
ดังนี้ , ภิกษุอยู่ ณ ที่ใด พึงนำไป ณ ที่นั้น แล้งพึงแจกกันตามลำดับ
พรรษาฉันเถิด.
ถ้าพวกทายกถวายผ้าจำพรรษา ในเวลาที่ภิกษุปวารณาเสร็จแล้ว,
ผิว่าภิกษุทั้งหลายรับอรุณโดยวาระ 7 วัน, พึงรับเถิด. แต่ภิกษุผู้
พรรษาขาด พึงบอกว่า "เราทั้งหลายมิได้จำพรรษาในวัดนั้น เราขาด
พรรษา" ถ้าเขากล่าวว่า "เสนาสนะของพวกข้าพเจ้า ท่านให้ถึงแก่
พระผู้เป็นเจ้าเหล่าใด พระผู้เป็นเจ้าเหล่านั้นจงรับเถิด" ดังนี้ ภิกษุ
ควรรับ.
ส่วนของควรแจกกันได้ มีจีวรเป็นต้น ที่ภิกษุขนย้ายมาที่ใน
สถานใหม่นี้ด้วยคิดว่า "เก็บไว้ในวัดจะฉิบหายเสีย" ควรไปอปโลกน์