เมนู

มังคลัตถทีปนี แปล
เล่ม 4
พรรณนาความแห่งคาถาที่ 7*
[261] พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ 7 ดังนี้ : ความเป็นผู้หนัก
ชื่อว่า คารว. ความเป็นผู้ประพฤติถ่อมตน ชื่อว่า นิวาต. ความ
สันโดษ ชื่อ สนฺตุฏฺฐี. ความรู้อุปการะที่ท่านทำแล้ว ชื่อว่า กตญฺ
ญุตา
. การฟังธรรมในสมัย ชื่อว่า กาเลน ธมฺมสฺสวน.
บทว่า เอตํ ความว่า เทพดา ท่านจงถือว่า ความเคารพ 1
ความประพฤติถ่อมตน 1 ความยินดีด้วยของที่มีอยู่ 1 ความรู้อุปการะที่
ท่านทำแล้ว 1 การฟังธรรม 1 กรรม 5 อย่างมีความเคารพเป็นต้นนี้
เป็นมงคลอันสูงสุด ดั่งนี้. ความสังเขปในคาถานี้ เท่านี้.
ส่วนความพิสดารในคาถานี้ ดังต่อไปนี้ :-
* พระมหาฉาย สุวฑฺฒโน ป. ธ. 7 วัดบวรนิเวศวิหาร แปล.

กถาว่าด้วยความเคารพ
[262] บุคคลทั้งหลายที่ควรทำให้หนัก ชื่อว่า ครู. เพราะ
ฉะนั้น ในปกรณ์สัททนีติ พระอัครวงศมหาเถระ จึงกล่าวว่า "ครุ
ธาตุ เป็นไปในความอันสูง. " บุคคลผู้ควรแก่ความเคารพมีมารดาและ
บิดาเป็นต้น ชื่อว่า ครู. แท้จริง บุคคลเหล่านั้น ปราชญ์ทั้งหลาย
เรียกว่า ครู เพราะลอยเด่น คือเฟื่องฟู ได้แก่เปิดเผย คือ เป็น
ผู้เลิศลอย คือปรากฏ. อีกอย่างหนึ่ง มารดาและบิดาเป็นต้นเหล่านั้น
ท่านเรียกว่า ครู เพราะอรรถว่าเป็นผู้หนัก ดังฉัตรหิน. ภาวะแห่งบุคคล
ผู้หนัก ชื่อว่า คารวะ ได้แก่ การทำให้หนัก ในคารวบุคคลมีมารดาและ
บิดาเป็นต้นเหล้านั้น. เหตุนั้น ในอรรถกถา1 ท่านจึงกล่าวว่า " การทำให้
หนัก คือความเป็นผู้มีความเคารพ ตามสมควร ในบุคคลเป็นต้นว่าพระ
พุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธะ พระสาวกของพระตถาคต อาจารย์ อุปัชฌายะ
มารดาบิดา พี่ชาย พี่หญิง ผู้ควรแก่การประกอบความทำให้หนัก ชื่อ
ว่า ความเคารพ. "
[ คารวะเป็นมงคล อคารวะไม่เป็นมงคล ]
ความเคารพนั้น พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า เป็นมงคล เพราะเป็น
เหตุแห่งอิฏฐผลมีไปสุคติเป็นอาทิ. ก็ความที่อคารวะนั้นไม่เป็นมงคล
เป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว ด้วยการตรัสความที่คารวะนั้น
เป็นมงคล. ความจริง ความไม่เคารพ พึงทราบว่าเป็นอมงคล
เพราะเป็นเหตุแห่งอนิฏฐผลมีไปทุคติเป็นต้น.
1.ปรมตฺถโชติกา ขุทฺทกปาฐวณฺณนา. 158.

เหตุนั้น พระผู้มีพระภาค เมื่อจะทรงแสดงธรรมแก่สุภมาณพ
จึงตรัสว่า1 " มาณพ สตรีหรือบุรุษบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระด้าง
( เย่อหยิ่ง ) ถือตัวจัด ไม่กราบไหว้ บุคคลผู้ควรกราบไหว้ ไม่ลุกรับ
บุคคลผู้ควรลุกรับ ไม่ให้อาสนะ แก่บุคคลผู้ควรแก่อาสนะ ไม่ให้ทาง
แก่บุคคลผู้ควรแก่ทาง ไม่สักการะ บุคคลผู้ควรสักการะ ไม่ทำความ
เคารพ ผู้ที่ตนควรทำความเคารพ ไม่นับถือ บุคคลผู้ที่ตนควรนับถือ
ไม่บูชา บุคคลผู้ที่ตนควรบูชา. บุคคลนั้นเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะกรรมนั้น อันตนให้บริ-
บูรณ์แล้วอย่างนั้น สมาทานแล้วอย่างนั้น หากบุคคลนั้นไม่เข้าถึงอบาย
ทุคติ วินิบาต นรก เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกไซร้ ถ้าเขามาสู่
ความเป็นมนุษย์ เกิดในที่ใด ๆ ในภายหลัง ก็จะเป็นผู้มีตระกูลต่ำในที่
นั้น ๆ มาณพข้อที่บุคคลเป็นผู้กระด้าง ถือตัว ฯ ล ฯ ไม่บูชาบุคคล
ที่ควรบูชาเป็นปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีสกุลต่ำ.
มาณพ ส่วนสตรีหรือบุรุษบางคนในโลกนี้ ไม่เป็นผู้เย่อหยิ่ง ไม่
เป็นผู้ถือตัว ย่อมกราบไหว้ บุคคลผู้ที่ตนควรกราบไหว้ ย่อมลุกรับ
บุคคลผู้ที่ควรลุกรับ ย่อมให้อาสนะ แก่บุคคลผู้ควรแก่อาสนะ ย่อมให้
ทาง แก่บุคคลผู้ควรแก่ทาง ย่อมสักการะ บุคคลผู้ที่ควรสักการะ ย่อมทำ
ความเคารพ บุคคลผู้ที่ควรทำความเคารพ ย่อมนับถือบุคคลผู้ที่ควรนับ
ถือ ย่อมบูชา บุคคลผู้ที่ควรบูชา. บุคคลนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกาย
แตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะกรรมนั้น อันตนให้บริบูรณ์แล้ว
อย่างนั้น สมาทานแล้วอย่างนั้น หากเขาจะไม่เข้าถึง ฯ ล ฯ เพราะกาย
1. ม. อุ. 14/382.

แตกไซร้ ถ้าว่า เขามาสู่ความเป็นมนุษย์ เกิดในที่ใด ๆ ในภายหลัง ก็
จะเป็นผู้มีสกุลสูงในที่นั้น ๆ มาณพ ข้อที่บุคคลเป็นผู้ไม่เย่อหยิ่ง ไม่ถือ
ตัว ฯ ล ฯ ย่อมบูชา บุคคลผู้ที่ควรบูชา เป็นปฏิปทาอันเป็นไปเพื่อมี
สกุลสูง " ดังนี้.
บาลีจูฬกัมมวิภังคสูตร ในจตุตถวรรค อุปริปัณณาสก์.
[263] นัยอันมาในอรรถ1กถาจูฬกัมมวิภังคสูตรนั้นว่า " บทว่า
อภิวาเทตพฺพํ คือ บุคคลผู้ควรแก่การอภิวาท ได้แก่ พระพุทธเจ้า
พระปัจเจกพุทธะ หรือพระอริยสาวก. แม้ในบุคคลที่ควรลุกรับเป็นต้น
ก็นัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า สมตฺเตน คือ อันตนให้บริบูรณ์แล้ว.
บทว่า สมาทินฺเนน คือ อันตนถือเอาแล้ว คือลูบคลำแล้ว.
บทว่า ยทิทํ ความว่า กรรมคือความเป็นผู้กระด้างมีความถือ
ตัวจัด นี้ใด ปฏิปทานี่. "
ฎีกาจูฬกัมมวิภังคสูตรนั้นว่า " บทว่า สมตฺเตน คือ อันอาจ
ได้แก่สามารถ. อธิบายว่า เพราะกรรมอันตนทำ คือสั่งสมไว้แล้ว โดย
อาการที่กรรมนั้นสามารถในอันจะให้ผล. ก็กรรมเช่นนั้น ชื่อว่าไม่
บกพร่องโดยกิจของตน เพราะเหตุนั้น พระอรรถกถาจารย์ จึงกล่าวว่า
" อันตนให้บริบูรณ์ " ดังนี้ การถือเอาคือการลูบคลำด้วยตัณหาและทิฏฐิ
ชื่อว่า สมาทาน ในบทว่า สมาทินฺเนน นี้ ฉะนั้นพระอรรถกถาจารย์
จึงกล่าวคำว่า " อันตนถือเอาแล้ว คือลูบคลำแล้ว. " ที่ชื่อว่า ปฏิปทา
1. ป. สู. 3/648.

เพราะเป็นเครื่องดำเนินไปสู้สุคติ หรือทุคติ แห่งบุคคล ได้แก่กรรม. "
[264] อีกอย่างหนึ่ง คารวะ ชื่อว่า เป็นมงคล เพราะเป็น
เหตุบรรลุความเป็นผู้ไม่เสื่อม ( จากคุณมีสมถะและวิปัสสนาเป็นต้น ).
เพราะเหตุนั้น เทพดาองค์ใดองค์หนึ่ง จึงกล่าวในสำนักพระผู้มีพระภาค
ว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมทั้ง 7 ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อ
ความไม่เสื่อมแห่งภิกษุ. ธรรม 7 ประการนั้นเป็นไฉน ? ธรรม 7
ประการนั้น คือ ความเป็นผู้เคารพในพระศาสดา 1 ความเป็นผู้เคารพ
ในพระธรรม 1 ความเป็นผู้เคารพในพระสงฆ์ 1 ความเป็นผู้เคารพ
ในสิกขา 1 ความเป็นผู้เคารพในสมาธิ 1 ความเป็นผู้เคารพในความไม่
ประมาท 1 ความเป็นผู้เคารพในปฏิสันถาร 1, ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ธรรม 7 ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมแห่งภิกษุ1"
ดังนั้น. เทพดานั้น ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็หายไปในที่นั้นนั่นเอง.
แม้พระศาสดา ในวันรุ่งขึ้น ก็ได้ตรัสบอกคำที่เทพดาองค์นั้น
กล่าว แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วได้ตรัสภาษิต 2 คาถานี้ในอัปปมาทสูตร
ในจตุตถวรรค ปฐมปัณณาสก์ ในสัตตกนิบาต อังคุตตรนิกาย ว่า
" ภิกษุมีพระศาสดาเป็นที่เคารพ 1 มีพระธรรม
เป็นที่เคารพ 1 มีความเคารพในพระสงฆ์อย่างแรง
กล้า 1 มีความเคารพในสมาธิ 1 มีความเพียร
เคารพยิ่งในในสิกขา 1 มีความเคารพในความไม่
ประมาท 1 มีความเคารพในปฏิสันถาร 1 ไม่ควร
เพื่อจะเสื่อม ตั้งอยู่ในที่ใกล้พระนิพพานทีเดียว. "

1. องฺ. สตฺตก. 23/29.

[265] อรรถกถา1อปริหานสูตร ในจตุตถวรรค ปฐมปัณณาสก์
ในฉักกนิบาต อังคุตตรนิกายว่า " บรรดาคารวะทั้ง 7 นั้น การทำความ
เคารพในพระศาสดา ชื่อว่า สตฺถุคารวตา. ความเคารพในโลกุตร-
ธรรม 9 อย่าง ชื่อว่า ธมฺมคารวตา. ความเคารพในพระสงฆ์ ชื่อว่า
สงฺฆคารวตา. การทำความเคารพในสิกขา 3 ชื่อว่า สิกฺขาคารวตา.
ความเคารพในความไม่ประมาท ชื่อว่า อปฺปมาทคารวตา. ความ
เคารพในปฏิสันถาร 2 อย่าง ด้วยสามารถธรรมและอามิส ชื่อว่า
ปฏิสณฺฐารคารวตา.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถา ดังต่อไปนี้ ภิกษุ ชื่อว่า สตฺถุครุ
เพราะมีพระศาสดาเป็นที่เคารพ. ภิกษุ ชื่อว่า ธมฺมครุ เพราะมีพระ
ธรรมเป็นที่เคารพ. บทว่า ติพฺพคารโว คือ มีความเคารพหนักแน่น.
ภิกษุ ชื่อว่า ปฏิสณฺฐารคารโว เพราะมีความเคารพในปฏิสันถาร. "
อรรถกถาอัปปมาทวรรคธรรมบทว่า " บาทคาถาว่า อภพฺโพ
ปริหานาย
ความว่า ภิกษุนั้น คือผู้เห็นปานนั้น เป็นผู้ไม่ควรเพื่อจะ
เสื่อมทรามจากธรรมคือสมถะและวิปัสสนา หรือจากมรรคและผล คือ
ว่า จะเสื่อมจากมรรคและผลที่ตนบรรลุแล้วก็หามิได้ ทั้งจะไม่บรรลุ
มรรคผลที่ตนยังไม่บรรลุก็หามิได้.
บาทคาถาว่า นิพฺพานสฺเสว สนฺติเก ความว่า ย่อมมีในที่ใกล้
แม้แห่งกิเลสนิพพาน แม้แห่งอนุปาทาปรินิพพานโดยแท้. "
1. มโน. ปู. 3/129.