เมนู

มังคลัตถทีปนี แปล
เล่ม 2
พรรณนาความแห่งคาถาที่ 3
[115] พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ 3: ความเป็นผู้มีสุตะมาก
ชื่อว่า พาหุสัจจะ. ความเป็นผู้ฉลาดในหัตถกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง
ชื่อว่า ศิลปะ. แม้ในฎีกาแห่งวาเสฏฐสูตร ในมัชฌิมปัณณาสก์ ท่าน
ก็กล่าวว่า "ความเป็นผู้ฉลาดในหัตถกรรม ชื่อว่า ศิลปะ เพราะ
อรรถว่า อันบุคคลต้องศึกษาด้วยอุลายนั้น ๆ." กฎสำหรับฝึกหัด
กายวาจาและจิต อธิบายว่า "เครื่องกัน เครื่องห้ามกายวาจา
และจิตเหล่านั้น จากอาบัติบ้าง จาโทษเครื่องทุศีลบ้าง จาก
อกุศลกรรมบถบ้าง ตามสมควร" ชื่อว่า วินัย. ส่วนในอรรถกถา
ทั้งหลายมีสมันตปาสาทิกาเป็นต้น ท่านกล่าวหมายเอาพระวินัยปิฎก
อย่างเดียวว่า " ก็อุบายนั่น ย่อมฝึกกายด้วย วาจาด้วย เพราะเกียดกัน
เสียซึ่งอัชฌาจารทางกายและทางวาจา เหตุนั้น อุบายนั่นจึงชื่อว่า
วินัย.1" ในอรรถกถา2ท่านกล่าวว่า "บทว่า ศึกษาดีแล้ว คือ
สำเหนียกแล้วด้วยดี. บทว่า กล่าวดีแล้ว คือกล่าวแล้วด้วยดี.
ศัพท์ว่า ยา เป็นศัพท์แสดงอรรถไม่จำกัด. คำเปล่ง คือคำเป็นทาง

1. สมันตะ 1/182 ปรมัตถโชติกา ขุททกปาฐวัณณนา 148.

ชื่อว่า วาจา."
อรรถกถาแห่งรูปกัณฑ์1ว่า " สัททชาติใด อันเขาพูดกัน เหตุนั้น
สัททชาตินั้น ชื่อว่าวาจา. สัททชาติใด อันเขาเปล่ง เหตุนั้น
สัททชาตินั้น ชื่อว่าวาจา. การเปล่งถ้อยคำ ชื่อว่าคำเป็นทาง.
ถ้อยคำนั้นด้วย เป็นทางด้วย แห่งเหล่าชนผู้ประสงค์จะทราบเอง
และประสงค์จะให้ผู้อื่นทราบเนื้อความ แม้เพราะเหตุนั้น ชื่อว่า
พฺยปโถ."
อรรถกถาแห่งมุ2สาวาทสิกขาบทว่า "คำเป็นทาง ชื่อว่า
พฺยปโถ. จริงอยู่ วาจาเท่านั้น เป็นทางของชนทั้งหลายผู้ถึง
ทิฏฐานุคติ [คือเป็นตัวอย่าง] แม้ของชนเหล่าอื่น ท่านจึงเรียกว่า
พฺยปโถ."
อาเทศวาจาศัพท์เป็น พฺยในเพราะปถศัพท์หนปลาย ด้วยสูตร
ในสัททนีติปกรณ์ ตอนว่าด้วยสนธิกัปปะว่า " วาจาย โพฺย ปเถ
[แปลงวาจาศัพท์เป็น พฺย ในเพราะปถศัพท์] " ก็ได้ ด้วยมหาพฤทธิ์
ก็ได้.
บทว่า เอตํ ความว่า " เทพดา ท่านจงถือว่า 'พาหุสัจจะ 1
ศิลปะ 1 วินัยที่ศึกษาดีแล้ว 1 วาจาสุภาษิต 1 กรรม 4 อย่างนี้
เป็นมงคลอย่างสูงสุด" ความสังเขปในคาถาที่ 3 นี้ เท่านี้. ส่วน
ความพิสดารในคาถาที่ 3 นี้ ดังต่อไปนี้ :-

1. อฏฺฐสาลินี 472. 2. สมนฺต. 2/283.

กถาว่าด้วยพาหุสัจจะ
[116] ความเป็นผู้มีสุตะมาก ชื่อพาหุสัจจะ. โดยอรรถ
พาหุสัจจะ ได้แก่ความเป็นผู้ฉลาดในกิจนั้น ๆ อันเกิดขึ้นเพราะเรียน
บ้าง เพราะฟังบ้าง ซึ่งพระพุทธวจนะหรือศิลปะภายนอก (พระ
พุทธศาสนา) ยกความเป็นผู้ฉลาดในหัตถกรรม ที่พระผู้มีพระภาค
ทรงถือเอาด้วยสิปปศัพท์อันจะตรัส (ข้างหน้า) เสีย. พาหุสัจจะนั้น
มี 2 อย่าง ด้วยสามารถพาหุสัจจะของบรรพชิตและคฤหัสถ์. ใน 2
อย่างนั้น ความเป็นผู้ทรงจำคำสอนของพระศาสดา ที่พระผู้มีพระ-
ภาคทรงพรรณนาไว้ในอุรุเวลสูตรเป็นต้น โดยนัยเป็นอาทิอย่างนี้ว่า
"ภิกษุเป็นพหุสูต ทรงสุตะ มีสุตะเป็นที่สั่งสม " ดังนี้ ชื่อว่าพาหุสัจจะ
ของบรรพชิต.
อุรุเวล1สูตร มาในปฐมปัณณาสก์ แห่งจตุกกนิบาต อังคุตตร-
นิกาย.
[117] อรรถกถาแห่งอุรุเวลสูตร2นั้นว่า "สุตะ คือนวังค-
สัตถุศาสน์ของภิกษุนั้นมาก อธิบายว่า เป็นอันเธอเรียนแล้ว ด้วย
สามารถอักขระเบื้องต้นและเบื้องปลายแห่งบาลีและอนุสนธิ. ภิกษุนั้น
ชื่อว่า พหุสสุตะ. บทว่า สุตธโร คือเป็นผู้รองรับสุตะไว้ได้. จริงอยู่
พระพุทธวจนะอันภิกษุใดเรียนแต่บาลีประเทศนี้ เลือนหายไปจาก
บาลีประเทศนี้ ไม่คงอยู่ ดุจน้ำในหม้อทะลุ เธอ ไม่อาจจะกล่าว

1. องฺ. จตุกฺก 21/25. 2. มโนรถปูรณี. 2/347.

หรือบอกสูตรหรือชาดกอย่างหนึ่ง ในท่ามกลางบริษัท. ภิกษุนี้
หาชื่อว่าผู้ทรงสุตะไม่. ส่วนพระพุทธวจนะอันภิกษุใดเรียนแล้ว ย่อม
เป็นอย่างเวลาที่ตนเรียนมาแล้วนั้นแหละ เมื่อเธอไม่ทำการสาธยาย
ตั้ง 10 ปี ตั้ง 20 ปี ก็ไม่เลือนหาย, ภิกษุนี้ ชื่อว่าผู้ทรง
สุตะ. บทว่า สุตสนฺนิจโย ได้แก่ผู้สั่งสมสุตะ. ก็สุตะอัน
ภิกษุใดสั่งสมไว้ในตู้คือหทัย ย่อมคงอยู่ ดุจรอยจารึกที่ศิลา และ
ดุจมันเหลวราช1สีห์ที่เขาใส่ไว้ในหม้อทองคำ ภิกษุนี้ ชื่อว่าผู้มีสุตะ
เป็นที่สั่งสม."
ฎีกาแห่งอุรุเวลสูตรนั้นว่า "พระปริยัติธรรม ชื่อว่าสุตะ
เพราะเป็นธรรมอันผู้มีความต้องการด้วยการออกจากวัฏฏทุกข์ควร
ฟัง ภิกษุใด ทรงสุตะนั้น เหตุนั้น ภิกษุนั้น ชื่อว่าผู้ทรงสุตะ.
สุตะมีบท ๆ เดียว ไม่ตกหล่นไปแม้อักษรเดียวสั่งสมอยู่ เหตุนั้น
สุตะนั้นชื่อว่าสิ่งที่สั่งสมอยู่ สุตะเป็นสิ่งที่สั่งสมอยู่ มีในภิกษุนั้น
เหตุนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่ามีสุตะเป็นที่สั่งสมอยู่ (ครบครัน) 2
ก็บุคคลผู้เป็นพหุสูต เข้าถึงโดยสุตะ เป็นผู้อันพระศาสดาทรง
สรรเสริญแล้ว. จริงอยู่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ในอัปปัสสุตสูตร ใน
ปฐมปัณณาสก์ แห่งจตุกกนิบาต อังคุตตรนิกาย3ว่า-

1 Lion สิงโต. 2. เช่น สุตะว่าพุทฺโธ ก็คงเป็นบทว่า พุทฺโธอยู่ พุ ไม่หายไป
หรือ โธ ไม่เลือนไป เธอทรงไว้ได้ครบสุตะนั้น ๆ. อนึ่ง แม้ สนฺนิจโย จะเป็นบทปลง
หรือคุณบท ก็ใช้ สตํ เป็นประธานได้ เพราะลิงค์ของสนฺนิจโย เป็นอยู่อย่างนั้น เหมือน
อย่าง สรณํ เป็นคุณบทของพุทฺโธ. 3. องฺ. จตุกฺก. 1/28.

[นวังคสัตถุศาสน์]
"ภิกษุทั้งหลาย บุคคล 4 จำพวกเหล่านี้ มีปรากฏอยู่ในโลก.
บุคคล 4 จำพวกเป็นไฉน ? คือ บุคคลมีสุตะน้อย (ทั้ง) ไม่เข้าถึง
โดยสุตะ, บุคคลมีสุตะน้อย (แต่) เข้าถึงโดยสุตะ, บุคคลมีสุตะ
มาก (แต่) ไม่เข้าถึงโดยสุตะ, บุคคลมีสุตะมาก (ทั้ง) เข้าถึง
โดยสุตะ. ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นผู้มีสุตะน้อย (ทั้ง) ไม่เข้า
ถึงโดยสุตะ เป็นอย่างไร ? ภิกษุทั้งหลาย สุตะ คือ สุตตะ1
เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทานะ อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธัมมะ
เวทัลละ ของบุคคลบางคนในศาสนานี้ มีน้อย, เขาหาเป็นผู้รู้ทั่วถึง
อรรถ รู้ทั่วถึงธรรม แห่งสุตะอันน้อยนั่นแล้ว ปฏิบัติธรรมสมควร
แก่ธรรมไม่, อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นผู้มีสุตะน้อย
(ทั้ง) ไม่เข้าถึงโดสุตะ. ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นผู้มีสุตะน้อย
(แต่) เข้าถึงโดยสุถตะ เป็นอย่างไร ? ภิกษุทั้งหลาย สุตะ คือ
สุตตะ เคยยะ ฯลฯ เวทัลละ ของบุคคลบางคนในศาสนานี้ มีน้อย,

1. สุตตะ ได้แก่ระเบียบคำที่แสดงเนื้อความได้เรื่องหนึ่ง ๆ. เคยยะ ได้แก่ระเบียบคำที่
มีจุณณิยบทบ้างคาถาบ้างปนกัน. เวยยากรณะ ได้แก่ระเบียบคำที่มีจุณณิยบทล้วน ไม่
มีคาถาปน. คาถา ได้แก่ระเบียบคำที่ผูกประพันธ์เป็นคาถา ต่างโดยฉันทลักษณะและ
พฤติลักษณะ. อุทานะ ได้แก่ระเบียบคำที่พระพุทธเจ้าเป็นต้น ทรงเปล่งด้วยโสมนัส.
อิติวุตตกะ ได้แก่ระเบียบคำที่พระพุทธเจ้าตรัสเป็นร้อยแก้วในเบื้องต้นแล้ว ตรัสยา
ข้อความนั้น (คำนิคม) ในภายหลัง. ชาตกะ ได้แก่ระเบียบคำที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดง
บุรพจารีตเป็นที่มาแล้วในอดีต. อัพภูตธัมมะ ได้แก่ระเบียบคำที่แสดงความอัศจรรย์.
เวทัลละ ได้แก่ระเบียบคำที่ผู้ถามได้ความรู้แจ้ง และมีความยินดีถามต่อ ๆ ขึ้นไป
รวมสุตะ 9 นี้ เรียกนวังคสัตถุศาสน์.

(แต่) เขาเป็นผู้รู้ทั่วถึงอรรถ รู้ทั่วถึงธรรม แห่งสุตะน้อยนั้นแล้ว
ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม, อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย บุคคล
เป็นผู้มีสุตะน้อย (แต่) เข้าถึงโดยสุตะ. ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคล
เป็นผู้มีสุตะมาก (แต่) ไม่เข้าถึงโดยสุตะ เป็นอย่างไร ? ภิกษุ
ทั้งหลาย สุตะ คือ สุตตะ เคยยะ ฯลฯ เวทัลละ ของบุคคล
บางคนในศาสนานี้ มีมาก, (แต่) เขาหาเป็นผู้รู้ทั่วถึงอรรถ รู้ทั่ว
ถึงธรรม แห่งสุตะมากนั้นแล้ว ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมไม่.
อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นผู้มีสุตะมาก (แต่) ไม่เข้าถึง
โดยสุตะ. ภิกษุทังหลาย ก็บุคคลเป็นผู้มีสุตะมาก (ทั้ง) เข้าถึง
โดยสุตะ เป็นอย่างไร ? ภิกษุทั้งหลาย สุตะ คือ สุตตะ เคยยะ
ฯลฯ เวทัลละ ของบุคคลบางคนในศาสนานี้ มีมาก, (ทั้ง) เขา
ก็เป็นผู้รู้ทั่วถึงอรรถ รู้ทั่วถึงธรรม แห่งสุตะมากนั้นแล้ว ปฏิบัติ
ธรรมสมควรแก่ธรรม, อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นผู้มี
สุตะมาก (ทั้ง) เขาถึงโดยสุตะ. ภิกษุทั้งหลาย บุคคล 4 จำพวก
เหล่านี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก."
(พระผู้มีพระภาคผู้พระสุคตศาสดา ได้ตรัสไวยากรณ์นี้ ครั้น
แล้วได้ตรัสคำลงท้าย เป็นประพันธคาถาอื่นต่อไปว่า :-)
"ถ้าบุคคลแม้มีสุตะน้อย (ทั้ง) ไม่ตั้งมั่นอยู่
ในศีล; บัณฑิตทั้งหลายย่อมติเตียนเขาโดย
ส่วนสอง คือ ทั้งโดยศีล ทั้งโดยสุตะ. ถ้า
บุคคลแม้มีสุตะน้อย (แต่) ตั้งมั่นดีอยู่ในศีล;