อันตรคาถา
ใน
พระธัมมปทัฏฐกถา
ปณามคาถา*
มหาโมหตโมนทฺเธ โลเก ลกนฺตทสฺสินา
เยน สทฺธมฺมปชฺโชโต ชลิโต ชลิติทฺธินา
ตสฺส ปาเท นมสฺสิตฺวา สมฺพุทฺธสฺส สิรีมโต
สทฺธมฺมญฺจสฺส ปูเชตฺวา กตฺวา สงฺฆสฺส จญฺชลึ
" ตํ ตํ กรณมาคมฺม ธมฺมา ธมฺเมสุ โกวิโท
มฺปนฺนสทฺธมปโท สตฺถา ธมฺมปทํ สุภํ
เทเสสิ กรุณาเวค- สมุสฺสาหิตมานโส
ยํ เว เทวมนุสฺสานํ ปีติปาโมชฺชวฑฺฒนํ
ปรมฺปราภตา ตสฺส นิปุณา อตฺถวณฺณนา,
ยา ตามฺพปณฺณิทีปมฺหิ ทีปภาสาย สณฺฐิตา
น สายติ เสสานํ สตฺตานํ หิตสมฺปทํ,
อปฺเปวนาม สาเธยฺย สพฺพโลกสฺส สา หิตํ "
อิติ อาสึสมาเนน ทนฺเต สมจารินา
กุมารกสฺสเปนาหํ เถเรนน ถิรเจตสา
* ธมฺ. 1/1-2
สทฺธมฺมฏฺฐิติกาเมน สกฺกจฺจํ อภิยาจิโต
ตํ ภาสํ อติวิตฺถารํ คตญฺจ วจนกฺกมํ
ปหายาโรปยิตฺวาน ตนฺตึ ภาสึ มโนรมํ
คาถานํ พฺยญฺชนปทํ ยํ ตตฺถ น วิภาวิตํ
เกวลนฺตํ วิภาเวตฺวา เสสนฺตเมว อตฺถโต
ภาสนฺตเรน ภาสิสฺสํ อาวหนฺโต วิภาวินํ
มนโส ปีติปาโมชฺชํ อตฺถธมฺมูปนิสฺสิตนฺติ.
แปลปณามคาถา
ข้าพเจ้าชื่อพระพุทธโฆษาจารย์ เป็นผู้อันพระกุมารกัสสปเถระ
ผู้ฝึกตนเรียบร้อยแล้ว ประพฤติสม่ำเสมอโดยปกติ มีจิตมั่นคง ใคร่ความ
ดำรงมั่นแห่งพระสัทธรรม หวังอยู่ว่า " อรรถกถาอันพรรณนาอรรถ
แห่งพระธรรมบทอันงาม ที่พระศาสดาผู้ฉลาดในสภาพที่เป็นธรรมและ
มิใช่ธรรม มีบทคือพระสัทธรรมถึงพร้อมแล้ว มีพระอัธยาศัยอันกำลัง
แห่งพระกรุณาให้อุตสาหะด้วยดีแล้ว ทรงอาศัยเหตุนั้น ๆ แสดงแล้ว
เป็นเครื่องเจริญปีติและปราโมทย์ของเทพดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นคำ
ที่สุขุมละเอียดนำกันสืบ ๆ มาแล้ว ตั้งอยู่แล้วในตามพปัณณิทวีป โดย
ภาษาของชาวทวีป ยังไม่กระทำความถึงพร้อมแห่งประโยชน์เกื้อกูลให้
สำเร็จแก่สัตว์ทั้งหลายที่เหลือได้ แม้ไฉน อรรถกถาแห่งพระธรรมบท
นั้น จักทำประโยชน์ให้สำเร็จแก่โลกทั้งปวงได้ " ดังนี้ จึงอาราธนา
โดยเคารพแล้ว ขอนมัสการพระบาทแห่งพระสัมพุทธเจ้าผู้ทรงสิริ เมื่อ
โลกอันมืดคือโมหะใหญ่ปกคลุมแล้ว ทรงแลเห็นพระนิพพานอันเป็นที่สุด
ของโลกได้ ผู้มีฤทธิ์รุ่งเรืองแล้ว ทรงยังประทีปคือพระสัทธรรมให้
รุ่งเรืองแล้ว บูชาพระสัทธรรมแห่งพระสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นแล้ว และ
ทำอัญชลีแด่พระสงฆ์แห่งพระสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นแล้ว จักกล่าว
อรรถกถา อันพรรณนาอรรถแห่งพระธรรมบทนั้นด้วยภาษาอื่น แต่
โดยอรรถไม่ให้เหลือ ละภาษานั้นและลำดับอันถึงอรรถอันพิสดารเกิน
เสีย ยกขึ้นสู่ภาษาอันเป็นแบบที่ไพเราะ อธิบายบทพยัญชนะแห่งคาถา
ทั้งหลาย ที่ท่านยังมิได้อธิบายไว้แล้วในอรรถกถานั้นให้สิ้นเชิง นำปีติ
และปราโมทย์แห่งใจ อันอาศัยอรรถและธรรม มาแก่นักปราชญ์
ทั้งหลาย.
อันตรคาถา
ใน
ธัมมปทัฏฐกถา
1. เรื่องพระจักขุปาลเถระ
มีเรื่องเล่าว่า ยังมีเศรษฐีผู้หนึ่ง ชื่อมหาสุวรรณ เป็นคนมั่งคั่ง
มีทรัพย์สมบัติมาก แต่ไม่มีบุตร วันหนึ่ง เขาไปอาบน้ำแล้วกลับมาเห็น
ต้นไม้เจ้าไพร นึกเดาเอาว่า คงมีเทวดาสิง จึงทำพิธีรีตองบวงสรวง
ขอให้ตนได้บุตรหรือธิดา แล้วจักทำสักการะแก้บนเป็นการใหญ่ จำเนียร
กาลล่วงมา ภรรยาเข้าก็ตั้งครรภ์บรรจบครบทศมาส คลอดแล้วขนาน
ชื่อว่าปาละ สมัยอื่นก็คลอดอีกคนหนึ่งจึงขนานชื่อว่าจุลปาละ พอสอง
กุมารเจริญวัย มารดาบิดาก็ตาย ได้ทรัพย์มรดก สองพี่น้องก็เลี้ยงดูกัน
สืบมา.
ภายหลังนายปาละไปฟังเทศน์ที่วัดพระเชตวัน ซึ่งสมเด็จพระบรม-
ศาสดาทรงแสดง ว่าด้วยอนุบุพพีกถา เขาได้ฟังแล้วก็ติดใจ จึงเข้า
ไปเฝ้ากราบทูลขอบวช ได้ตรัสสั่งให้ไปลาญาติที่ควรลาเสียก่อน เขาจึง
ไปมอบสมบัติให้นายจุลปาละผู้น้องชาย แล้วลาว่าจะบวช น้อยชายก็ห้าม
ว่า พี่จ๋า เดี๋ยวนี้ ฉันได้พี่เป็นเหมือนมารดาบิดาของฉัน พี่อยู่บ้านก็มี
สมบัติพอจะจ่ายออกทำบุญได้ พี่อย่าบวชเลย ถ้าใคร่จะบวชจริง ๆ ไว้บวช
ต่อแก่ ๆ เถิดหนาพี่ ฝ่ายนายปาละได้ฟังน้องชายอ้อนวอนดังนั้น ก็ไม่
ยอม จะบวชให้ได้ จึงได้พูดตอบน้องชายผู้ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ โดย
ใจความดังนี้ว่า :-
[ 1 ] ชราชชฺชริตา โหนฺติ มือเท้าและเท้าทั้งหลายของผู้ใดชำรุด
หตฺถปาทา อนสฺสวา ไปเพราะชรา ว่าไม่ฟัง ผู้นั้นเป็น
ยสฺส โส วิหตตฺถาโม ผู้มีกำลังถอยเสียแล้ว
กถํ ธมฺมํ จริสฺสติ. จักประพฤติธรรมได้อย่างไรเล่า ?
นายปาละ หรือที่เรียกว่ามหาปาละ ครั้นลาน้องชายไปบวชแล้ว
เฝ้าปฏิบัติท่านอาจารย์และอุปัชฌายะอยู่จนครบ 5 พรรษาแล้ว จึงปลีก
ตัวอยู่ต่างหาก เมื่อครบ 5 พรรษา ปวารณาเสร็จแล้ว เข้าไปเฝ้า
สมเด็จพระบรมศาสดา กราบทูลถามถึงธุระในพระศาสนา ได้ทราบว่า
คันถธุระนี้ยุ่งนัก คือจะต้องเล่าเรียนศึกษาพระพุทธวจนะแล้วทรงจำไว้
บอกกล่าว จะต้องระคนด้วยคนหมู่มาก ก็ไม่พอใจกลับรักใคร่ในทาง
วิปัสสนาธุระ คือหลีกไปอยู่ที่สงัด ๆ เริ่มตั้งความสิ้นความเสื่อมไว้ใน
อัตภาพ ยังวิปัสสนาให้เจริญเรื่อย ๆ ไป กว่าจะถึงพระอรหันต์ เรียน
พระกัมมัฏฐานในสำนักสมเด็จพระบรมศาสดา แล้วพาภิกษุบริวารประ-
มาณ 60 รูป ออกเดินทางไปไกลราว 120 โยชน์ ลุถึงบ้านปัจจันตคาม
หมู่ใหญ่ตำบลหนึ่ง อันชาวบ้านตำบลนั้น อาราธนาให้จำพรรษาตาม
ผาสุก พวกเธอเห็นสมควรแล้ว รับอยู่พรรษา เมื่อถึงวันจำพรรษา
1. ธมฺ. 1/3