4. ปุปผวรรค วรรณนา
1. เรื่องภิกษุ 500 รูปผู้ขวนขวายในปฐวีกถา* [33]
[ข้อความเบื้องต้น]
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุ
500 รูป ผู้ขวนขวายในปฐวีกถา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "โก
อิมํ ปฐวึ วิเชสฺสติ" เป็นต้น.
[ควรปรารภแผ่นดินภายใน]
ดังได้สดับมา ภิกษุเหล่านั้น เที่ยวจาริกไปในชนบทกับพระ
ผู้มีพระภาค มาถึงพระเชตวันแล้วนั่งในหอฉันในเวลาเย็น เล่นถึง
เรื่องแผ่นดินในสถานที่ตนไปแล้ว ๆ ว่า "สถานเป็นที่ไปสู่บ้านโน้น
จากบ้านโน้น เสมอ ไม่เสมอ มีเปือกตมมาก มีกรวดมาก มีดินดำ
มีดินแดง."
พระศาสดา เสด็จมาตรัสถามว่า "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวก
เธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ ?" เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า
"ด้วยเรื่องแผ่นดินในสถานที่พวกเข้าพระองค์เที่ยวไปแล้ว พระเจ้าข้า"
ดังนี้แล้ว จึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย นั่นชื่อว่าแผ่นดินภายนอก,
การที่พวกเธอทำบริกรรมในแผ่นดินภายในจึงจะควร" ดังนี้ แล้ว
ได้ทรงภาษิต 2 พระคาถานี้ว่า :-
* พระมหาอู ป. ธ. 7 วัดบวรนิเวศวิหาร แปล.
"ใคร จักรู้ชัดซึ่งแผ่นดินนี้และโยมโลกกับมนุสส-
โลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก, ใคร จักเลือกบทธรรม
อันเราแสดงดีแล้ว เหมือนนายมาลาการผู้ฉลาด
เลือกดอกไม้ ฉะนั้น. พระเสขะจักรู้ชัดแผ่นดิน
และยมโลกกับมนุสสโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก. พระ
เสขะจักเลือกบทธรรมอันเราแสดงดีแล้ว เหมือน
นายมาลาการผู้ฉลาดเลือกดอกไม้ฉะนั้น."
[แก้อรรถ]
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า โก อิมํ ความว่า ใคร (จัก
รู้ชัด) ซึ่งแผ่นดินนี้ กล่าวคืออัตภาพ.
บทว่า วิเชสฺสติ ความว่า รักรู้แจ้ง คือแทงตลอด ได้แก่
ทำให้แจ้ง ด้วยญาณของตน.
บทว่า ยมโลกญฺจ ได้แก่ อบายโลก 4 อย่างด้วย.
สองบทว่า อิมํ สเทวกํ ความว่า ใคร จัดรู้ชัด คือจัก
ทราบชัด ได้แก่ แทงตลอด ทำให้แจ้ง ซึ่งมนุสสโลกนี้กับเทวโลก
ด้วย พระศาสดาย่อมตรัสถามดังนี้.
บาทพระคาถาว่า โก ธมฺมปทํ สุเทสิตํ ความว่า ใคร จัก
เลือก คือคัด ได้แก่ พิจารณาเห็น แทงตลอด ทำให้แจ้ง ซึ่งบทธรรม
กล่าวคือโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ1 ที่ชื่อว่าอันเราแสดงดีแล้ว
1. คือ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7
มรรคมีองค์ 8.
เพราะความเป็นธรรมอันเรากล่าวแล้วตามความเป็นจริง เหมือนนาย
มาลการผู้ฉลาดเลือกดอกไม้อยู่ฉะนั้น.
บทว่า เสโข เป็นต้น ความว่า พระอริยบุคคล 7 จำพวก
ตั้งต้นแต่ท่านผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค จนถึงท่านผู้ตั้งอยู่ในอรหัต-
มรรค ชื่อว่าพระเสขะ เพราะยังศึกษาสิกขา 3 เหล่านี้ คือ อธิสีล-
สิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา คร่าออกอยู่ซึ่งฉันทราคะ1จาก
อัตภาพนั้น ด้วยอรหัตมรรค ชื่อว่าจักรู้ชัด คือจักทราบชัด ได้แก่
แทงตลอด ทำให้แจ้ง ซึ่งแผ่นดินนี้ กล่าวคืออัตภาพ.
บทว่า ยมโลกญฺจ เป็นต้น ความว่า พระเสขะนั้นนั่นแหละ
จักรู้ชัด คือจักทราบชัด ได้แก่ แทนตลอด ทำให้แจ้ง ซึ่งยมโลก
มีประการอันกล่าวแล้วอย่างนั้น และมนุสสโลกนี้ กับทั้งเทวโลก
ทั้งหลาย ชื่อว่าพร้อมทั้งเทวโลก. พระผู้ยังต้องศึกษา 7 จำพวกนั้น
แหละ ชื่อว่าเสขะ. อธิบายว่า นายมาลาการผู้ฉลาด เข้าไปสู่สวน
ดอกไม้แล้ว เว้นดอกไม้ที่อ่อนและตูม ที่สัตว์เจาะ ที่เหี่ยว และที่
เกิดเป็นปมเสียแล้ว เลือกเอาเฉพาะแต่ดอกไม้ที่งาม ที่เกิดดีแล้ว
ชื่อฉันใด พระเสขะ จักเลือก คือคัด ได้แก่พิจารณาเห็น แทง
ตลอด ทำให้แจ้ง แม้ซึ่งบทแห่งโพธิปักขิยธรรมนี้ ที่เรากล่าวดีแล้ว
คือแสดงดีแล้ว ฉันนั้นนั่นแล.
พระศาสดาทรงเฉลยปัญหาทีเดียว. ในเวลาจบเทศนา ภิกษุ
500 รูป บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลายแล้ว, เทศนา
ได้มีประโยชน์แม้แก่บริษัทผู้ประชุมกัน ดังนี้แล.
เรื่องภิกษุ 500 รูปผู้ขวนขวายในปฐวีกถา จบ.
1. ฉันทราคะ แปลว่า ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ.
2. เรื่องพระเถระผู้เจริญมรีจิกัมมัฏฐาน* [34]
[ข้อความเบื้องต้น]
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในกรงสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุ
รูปใดรูปหนึ่ง ผู้เจริญรีจิกัมมัฏฐาน ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า
"เผณูปมํ" เป็นต้น.
[พระเถระเจริญมรีจิกัมมัฏฐาน]
ดังได้สดับมา พระเถระนั้น เรียนกัมมัฏฐานในสำนักพระศาสดา
แล้วคิดว่า "เราจักทำสมณธรรม" ดังนี้แล้ว เข้าไปสู่ป่า พาก
เพียรพยายามแล้ว ก็ไม่อาจบรรลุพระอรหัตได้ จึงกลับมายังสำนัก
พระศาสดา ด้วยตั้งใจว่า "จักทูลอาราธนาให้ตรัสบอกพระกัมมัฏ-
ฐานให้วิเศษ," เห็นพยับแดดในระหว่างทาง เจริญมรีจิกัมมัฏฐาน
ว่า "พยับแดดนี้ ตั้งขึ้นแล้วในฤดูร้อน ย่อมปรากฏแก่บุคคลทั้งหลาย
ผู้ยืนอยู่ ณ ที่ไกล ดุจมีรุปร่าง, แต่ไม่ปรากฏเลย แก่บุคคลผู้มาสู่
ที่ใกล้ ฉันใด; แม้อัตภาพนี้ ก็มีรูปเหมือนอย่างนั้น เพราะอรรถว่า
เกิดขึ้นและเสื่อมไป" เดินมาแล้ว เมื่อยล้าในหนทาง อาบน้ำในแม่น้ำ
อจิรวดี นั่งที่ร่ม (ไม้) ริมฝั่งแม่น้ำมีกระแสอันเชี่ยวแห่งหนึ่ง เห็นฟอง
น้ำใหญ่ ตั้งขึ้นด้วยกำลังแห่งน้ำกระทบกันแล้วตกไป ได้ถือเอาเป็น
อารมณ์ว่า "แม้อัตภาพนี้ ก็มีรูปอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะอรรถว่า
เกิดขึ้นแล้วก็แตกไป."
* พระมหาอูป. ธ. 7 วัดบวรนิเวศวิหาร แปล.
1. กัมมัฏฐานมีอันพจารณาพยับแดดเป็นอารมณ์.
[ทรงเปรียบกายด้วยฟองน้ำและพยับแดด]
พระศาสดา ประดับอยู่ที่พระคันธกุฎีนั่นแล ทอดพระเนตรเห็น
พระเถระนั้นแล้ว จึงตรัสว่า "อย่างนั้นนั่นแหละ ภิกษุ อัตภาพนี้
มีรูปอย่างนั้นแล มีอนเกิดขึ้นและแตกไปเป็นสภาพแน่แท้ เหมือน
ฟองน้ำ (และ) พยับแดด" ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
"ภิกษุรู้แจ้งกายนี้ (ว่า) มีฟองน้ำเป็นเครื่อง
เปรียบ, รู้ชัดกายนี้ (ว่า) มีพยับแดดเป็นธรรม
ตัดพวงดอกไม้ของมารเสียแล้ว พึงถึงสถานที่
มัจจะราชไม่เห็น."
[แก้อรรถ]
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เผณูปมํ ความว่า รู้แจ้งกายนี้
คือ อันนับว่าเป็นที่ประชุมแห่งส่วนต่าง ๆ มีผมเป็นต้น ว่า "เห็นสม
ด้วยฟองน้ำ เพราะอรรถว่า ไม่มีกำลัง มีกำลังทราม ไม่ตั้งอยู่นาน
และเป็นไปชั่วกาล."
บทว่า มรีจิธมฺมํ เป็นต้น ความว่า รู้ชัด คือรู้ ได้แก่ทราบ
ว่า "แม้กายนี้ ชื่อว่ามีพยับแดดเป็นธรรม เพราะอรรถว่า เป็นไป
ชั่วขณะและปรากฏนิดหน่อย เหมือนอย่างพยับแดด เป็นดุจมีรูปร่าง
(และ) เป็นดุจเข้าถึงความเป้นของที่ควรถือเอาได้ แก่บุคคลทั้งหลาย
ผู้ยืนอยู่ ณ ที่ไกล, (แต่) เมื่อบุคคลเข้าไปใกล้ ย่อมปรากฏเป็นของ
ว่างเปล่า เข้าถึงความเป็นของถือเอาไม่ได้ ฉะนั้น."
สองบทว่า มารสฺส ปปุปฺผกานิ เป็นต้น ความว่า ภิกษุผู้
ขีณาสพ1 ตัดวัฏฏะอันเป็นไปในไตรภูมิ2 กล่าวคือพวงดอกไม้ของ
มารเสียได้ ด้วยอริยมรรคแล้ว พึงถึงสถานที่ไม่เห็น คือที่อันไม่เป็น
วิสัย ของมัจจุราช ได้แก่พระอมตมหานิพพาน.
ในกาลจบคาถา พระเถระ บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา
ทั้งหลายแล้ว ชมเชย สรรเสริญ ถวายบังคมพระสรีระขอพระศาสดา
ซึ่งมีพรรณดุจทองคำ มาแล้ว ดังนี้แล.
เรื่องพระเถระผู้เจริญมรีจิกัมมัฏฐาน จบ.
1. ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว. 2. ภูมิ 3 คือ กามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ.