2. อัปปมาทวรรค วรรณนา
1. เรื่องพระนางสามาวดี* [15]
[ข้อความเบื้องต้น]
พระศาสดา เมื่ออาศัยกรุงโกสัมพี ประทับอยู่ที่โฆสิตาราม
ทรงปรารภความวอดวายคือมรณะ ของหญิง 500 มีพระนางสามาวดี
เป็นประธาน และของญาติ 500 ของพระนางมาคันทิยานั้น ซึ่งมี
นางมาคันทิยาเป็นประธาน จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "อปฺปมาโท
อมตํ ปทํ" เป็นต้น ในเรื่องนั้น มีอนุปุพพีกถา ดังต่อไปนี้:-
[กษัตริย์ 2 สหาย]
ในกาลล่วงมาแล้ว พระราชา 2 องค์ เหล่านี้ คือ "ในแคว้น
อัลลกัปปะ พระราชาทรงพระนามว่า อัลลกัปปะ, ในแคว้นเวฏฐทีปกะ
พระราชาทรงพระนามว่า เวฏฐทีปกะ" เป็นพระสหายกัน ตั้งแต่เวลา
ยังทรงพระเยาว์ ทรงศึกษาศิลปะในสำนักอาจารย์เดียวกัน โดยล่วง
ไปแห่งพระราชบิดาของตน ๆ ได้ให้ยกเศวตฉัตรขึ้นแล้ว ทรงเป็นพระ
ราชาในแคว้น มีประมาณแคว้นละ 10 โยชน์. พระราชา 2 พระองค์
นั้น เสด็จมาประชุมกันตลอดกาลตามกาล (ตามกาลอันสมควร)
ทรงยืน, นั่ง, บรรทม ร่วมกัน ทอดพระเนตรเห็นมหาชน ผู้เกิดอยู่
และตายอยู่ จึงทรงปรึกษากันว่า "ชื่อว่า ผู้ตามคนผู้ไปสู่ปรโลก ไม่มี,
* พระมหาเพียร ป. ธ. 9 วัดกันมาตุยาราม แปล.
โดยที่สุดถึงสรีระของตน ก็ตามไปไม่ได้; ต้องละสิ่งทั้งปวงไป,
ประโยชน์อะไรด้วยการอยู่ครองเรือนของเรา, เราจักบวช" ดังนี้แล้ว
ทรงมอบราชสมบัติ ให้แก่พระโอรสและพระมเหสี ออกผนวชเป็น
พระฤษี อยู่ในหิมวันตประเทศ ได้ทรงปรึกษากันว่า "พวกเรา
ไม่อาจเพื่อเป็นอยู่ จึงละราชสมบัติออกบวชก็หาไม่, เราเหล่านั้น
เมื่ออยู่ในที่แห่งเดียวกัน ก็จักเหมือนกับผู้ไม่บวชนั้นเอง, เพราะฉะนั้น
เราจักแยกกันอยู่: ท่านจงอยู่ ที่ภูเขาลูกนั้น, เราจักอยู่ที่ภูเขาลูกนี้ ;
แต่จักรวมกัน ในวันอุโบสถทุกกึ่งเดือน." ครั้งนั้นพระดาบสทั้ง 2 นั้น
เกิดมีความดำริขึ้นอย่างนี้ว่า "แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ ความคลุกคลีด้วย
คณะเทียว จักมีแก่เราทั้งหลาย, ท่านพึงจุดไฟให้โพลงขึ้นที่ภูเขา
ของท่าน, เราก็จักจุดไฟให้โพลงขึ้นที่ภูเขาของเรา ; ด้วยเครื่องสัญญา
นั้น เราทั้งหลาย ก็จักรู้ความที่เรายังมีชีวิตอยู่." พระดาบสทั้ง 2 นั้น
กระทำอย่างนั้นแล้ว.
[เรียนมนต์และพิณ]
ต่อมาในกาลอื่น เวฏฐทีปกดาบส ทำกะละ บังเกิดเป็นเทพเจ้า
ผู้มีศักดิ์ใหญ่. แต่นั้น ครั้นถึงกึ่งเดือน อัลลกัปปดาบส พอและไม่เห็น
ไฟ ก็ทราบได้ว่า "สหายของเรา ทำกาละเสียแล้ว." แม้เวฏฐทีปก-
ดาบส ตรวจดูทิพพสิริของตนในขณะที่เกิด ใคร่ครวญถึงกรรม เห็น
กิริยาตนกระทำ จำเดิมแต่ออกบวชแล้ว คิดว่า "บัดนี้ เราจักไป
เยี่ยมสหายของเรา" ในขณะนั้น จึงละอัตภาพนั้นเสีย เป็นเหมือน
คนหลงทาง ไปยังสำนักของอัลลัปปดาบสนั้น ไหว้แล้ว ได้ยืน
อยู่ ณ ที่สมควรแห่งหนึ่ง.
ลำดับนั้น อัลลกัปปดาบสนั้น จึงกล่าวถามบุรุษนั้นว่า
"ท่านมาจากไหน ?"
บุรุษ. ท่านผู้เจริญ ผมเป็นคนหลงทาง เดินมาจากที่ไกล
เหลือเกิน, ก็พระผู้เป็นเจ้า อยู่รูปเดียวเท่านั้น ในที่นี้ หรือ ? มีใคร
อื่นบ้างไหม ?
อัลละ. มีสหายของเราอยู่ผู้หนึ่ง.
บุรุษ. ผู้นั้น ไปอยู่ที่ไหนหรือ ?
อัลละ. เขาอยู่ที่ภูเขาลูกนั้น. แต่วันอุโบสถ เขาไม่จุดไฟ
ให้โพลง, เขาจักตายเสียแล้วเป็นแน่.
บุรุษ. เป็นอย่างนั้นหรือ ของรับ?
อัลละ. ผู้มีอายุ เป็นอย่างนั้น.
บุรุษ. กระผมคือผู้นั้น ขอรับ.
อัลละ. ท่านเกิดที่ไหน ?
บุรุษ. กระผมเกิดเป็นเทพเจ้า ผู้มีศักดิ์ใหญ่ ในเทวโลก
ขอรับ, มาอีก ก็ด้วยประสงค์ว่า 'จักเยี่ยมพระผู้เป็นเจ้า' เมื่อ
พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในที่นี้ อุปัทวะอะไร มีบ้านหรือ ?
อัลละ. เออ อาวุโส, เราลำบาก เพราะอาศัยช้าง.
บุรุษ. ท่านผู้เจริญ ก็ช้างทำอะไรให้ท่านเล่า ?
อัลละ. มันถ่ายคูถลงในที่กวาด, เอาเท้าประหารคุ้ยฝุ่นขึ้น;
ข้าพเจ้านั้น คอยขนคูถช้างทิ้ง คอยเกลี่ยฝุ่นให้เสมอ ก็ย่อมลำบาก
บุรุษ. พระผู้เป็นเจ้าปรารถนาจะไม่ให้ช้างเหล่านั้นมาไหมเล่า ?
อัลละ. เออ อาวุโส.
บุรุษ. ถ้ากระนั้น กระผมจักทำไม่ให้ช้างเหล่านั้นมา ได้ถวาย
พิณสำหรับให้ช้างใคร่ และสอนมนต์สำหรับให้ช้างใคร่ แก่พระ
ดาบสแล้ว: ก็เมื่อจะให้ ได้ชี้แจงสายพิณ 3 สาย ให้เรียนมนต์ 3
บท แล้วบอกว่า "เมื่อดีดสายพิณสายนี้ ร่ายมนต์บทนี้แล้ว, ช้าง
ไม่อาจแม้เพื่อจะหันกลับแลดู ย่อมหนีไป; เมื่อดีดสายพิณสายนี้
ร่ายมนต์บทนี้แล้ว ช้างจะกลับเหลียวดูเบื้องหลังพลางหนีไป; เมื่อ
ดีดสายพิณสายนี้ ร่ายมนต์บทนี้แล้ว ช้างนายฝูง ย่อมน้อมหลัง
เข้ามาหา," แล้วกล่าวว่า "สิ่งใด อันท่านชอบใจ. ท่านพึงทำสิ่งนั้น
เถิด." ไหว้พระดาบสแล้ว ก็หลีกไป.
พระดาบส ร่ายมนต์บทสำหรับไล่ช้าง ดีดสายพิณสำหรับไล่ช้าง
ยังช้างให้หนีไปอยู่แล้ว.
[พระเจ้าอุเทนกับนกหัสดีลิงค์]
ในสมัยนั้น ในกรุงโกสัมพี ได้มีพระราชาทรงพระนามว่าพระเจ้า
ปรันตปะ วันหนึ่ง พระเจ้าปรันตปะทรงนั่งผิงแดดอ่อนอยู่ที่กลางแจ้ง1
กับพระราชเทวี ผู้ทรงครรภ์. พระราชเทวี ทรงห่มผ้ากัมพลแดง
อันมีราคาแสนหนึ่ง ซึ่งเป็นพระภูษาทรงของพระราชา ทรงนั่งปราศรัย
กับพระราชา ถอดพระธำมรงค์ อันมีราคาแสนหนึ่งจากพระองคุลี
ของพระราชา มาสวนใส่ที่นิ้วของพระองค์.
1. อากาสตเล ที่พื้นแห่งอากาศ.
ในสมัยนั้น นกหัสดีลิงค์ บินมาโดยอากาศ เห็นพระราชเทวี
จึงชลอปีกบินโผลง โดยหมายว่า "ชิ้นเนื้อ." พระราชาทรงตกพระทัย
ด้วยเสียงโผลงของนกนั้น จึงเสด็จลุกเข้ายังภายในพระราชนิเวศน์.
พระราชเทวีไม่อาจไปโดยเร็วได้ เพราะทรงครรภ์แก่ และเพราะเป็น
ผู้มีชาติแห่งคนขลาด. ครั้งนั้น นกนั้นจึงโผลง ยังพระนางนั้นให้นั่ง
อยู่ที่กรงเล็บ บินไปสู่อากาศแล้ว. เขาว่า พวกนกเหล่านั้น ทรง
กำลังเท่าช้าง 5 เชือก; เพราะฉะนั้น จึงนำเหยื่อไปทางอากาศ จับ
ณ ที่อันพอใจแล้ว ย่อมเคี้ยวมังสะกิน. แม้พระนางนั้น อันนกนั้น
นำไปอยู่ ทรงหวาดต่อมรณภัย จึงทรงดำริว่า "ถ้าว่าเราจักร้อง,
ธรรมดาเสียงคน เป็นที่หวาดเสียวของสัตว์จำพวกดิรัจฉาน มันฟัง
เสียงนั้นแล้ว ก็จักทิ้งเราเสีย, เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็จักถึงความสิ้นชีพ
พร้อมกับเด็กในครรภ์; แต่มันจับในที่ใดแล้วเริ่มจะกินเรา, ในที่นั้น
เราจักร้องขึ้น แล้วไล่ให้มันหนีไป. พระนางยับยั้งไว้ได้ ก็เพราะ
ความที่พระองค์เป็นบัณฑิต. ก็ในกาลนั้น ที่หิมวันตประเทศ มีต้นไทร
ใหญ่ต้นหนึ่ง เจริญขึ้นเล็กน้อยแล้วก็ตั้งอยู่ โดยอกาการดังมณฑป.
นกนั้น นำเหยื่อมีเนื้อเป็นต้นไปแล้ว ย่อมเคี้ยวกินที่ต้นไทรนั้น ;
เพราะฉะนั้น นกหัสดีลิงค์ตัวนั้น นำพระราชเทวีแม้นั้น ไปที่ต้นไทร
นั้นแล วางไว้ในระหว่างค่าคบไม้ แลดูทางอันตนบินมาแล้ว. นัยว่า
การแลดูทางบินมาแล้ว เป็นธรรมดาของนกเหล่านั้น. ในขณะนั้น
พระราชเทวี ทรงดำริว่า "บัดนี้ ควรไล่นกนี้ให้หนีไป" จึง
ทรงยกพระหัตถ์ทั้ง 2 ขึ้น ทั้งปรบมือ ทั้งร้อง ให้นกนั้นหนีไปแล้ว
ครั้งนั้น ในเวลาพระอาทิตย์อัสดงคต ลมกัมมชวาตปั่นป่วนแล้ว ใน
พระครรภ์ของพระราชเทวีนั้น. มหาเมฆคำรามร้อง ตั้งขึ้นในทุกทิศ
ชื่อว่าความหลับ มิได้มีแล้วตลอดคืนยังรุ่ง แก่พระราชเทวี ผู้ดำรง
อยู่ในความสุข ไม่ได้แม้สักคำพูดว่า "อย่ากลัวเลย พระแม่เจ้า"
อันความทุกข์ครอบงำแล้ว. แต่เมื่อราตรีสว่าง ความปลอดโปร่งจาก
วลาหกก็ดี, ความขึ้นแห่งอรุณก็ดี, ความออกแห่งสัตว์ผู้อยู่ในครรภ์
ของพระนางก็ดี ได้มีแล้ว ในขณะเดียวกันนั่นแล. พระนางได้ตั้งชื่อ
พระโอรสว่า "อุเทน" เพราะถือเอาฤดูเมฆและฤดูอรุณขึ้นประสูติแล้ว.
[อัลลกัปปดาบสเสียพิธี]
ที่อยู่ แม้ของอัลลกัปปดาบส ก็อยู่ในที่ไม่ไกลจากที่นั้น. โดย
ปกติ ในวันมีฝน พระดาบสนั้น ย่อมไม่ไปสู่ป่า เพื่อประโยชน์แก่
ผลาผล เพราะกลัวหนาว, ไปยังโคนไม้นั้น เก็บกระดูกเนื้อที่นกกิน
แล้ว ทุบต้มให้มีรสแล้ว ก็ดื่มกิน; เพราะฉะนั้น แม้ในวันนั้น พระ
ดาบสก็คิดว่า "จักเก็บกระดูก" จึงไปที่ต้นไม้นั้น แสวงหากระดูก
ที่โคนไม้อยู่ ได้ยินเสียงเด็กข้างบน จึงแลดู เห็นพระราชเทวี จึง
ถามว่า "ท่านเป็นใคร ?"
พระราชเทวี. ข้าพเจ้าเป็นหญิงมนุษย์.
ดาบส. ท่านมาได้อย่างไร ? เมื่อพระนางกล่าวว่า 'นกหัสดี-
ลิงค์นำข้าพเจ้ามา' จึงกล่าวว่า 'ท่านจงลงมา.'
พระเทวี. ข้าพเจ้ากลัวแต่ความเจือด้วยชาติ พระผู้เป็นเจ้า.
ดาบส. ท่านเป็นใคร ?