เมนู

อธิบายนามตอนต้น
พระมหาบุญสงค์ อตฺตคุตฺโต ป.ธ. 6 วัดราชาธิวาส
เรียบเรียง
บรรดาสภาพทั้งมวล ทั้งที่มีวิญญาณและหาวิญญาณมิได้ ซึ่งได้
อุบัติขึ้นมาในโลก จะเป็นคน สัตว์ ภูเขา ต้นไม้ อย่างใดอย่างหนึ่ง
ก็ดี เมื่อยังไม่มีใครสมมติเรียกชื่อว่าอย่างหนึ่งอย่างนี้ สักแต่ว่ามีอยู่เท่านั้น
ก็ยังไม่ทราบละเอียดว่าคนหรือสัตว์เป็นต้น อีกนัยหนึ่ง สิ่งที่น้อมไปในคำ
พูดของภาษาต่าง ๆ คืออาจเรียกรู้เข้าใจกันได้ตามความประสงค์ เรียกว่า
"นาม" แปลว่า "ชื่อ" หรือหมายความว่ามีอาการน้อมไปในคำพูดของ
ภาษานั้น ๆ ตามแต่จะสมมติขึ้น.
ศัพท์
สำเนียงก็ดี อักษรที่ใช่แทนสำเนียงก็ดี ซึ่งปรากฏเป็นถ้อยคำได้
เช่น ปุตฺโต บุตร ปญฺญวา มีปัญญา ทกฺโข ขยัน เหล่านี้เป็นต้น
เรียกว่า "ศัพท์" ถ้าสำเนียงชนิดใดไม่ใช่ถ้อยคำ คือเป็นสำเนียงที่ไม่
เป็นภาษา ดังคำว่า ปุ. ภิ. อู. หํ. เหล่านี้ และคำที่เป็นกิริยาหรือ
แม้อย่างอื่น ๆ คำชนิดนั้นไม่เรียกว่าศัพท์. คำพูดในภาษามคธแบ่งออก
เป็น 2 ประเภท คือ สัญชาติศัพท์หรือชาติศัพท์อย่าง 1, สัญญัติศัพท์
อย่าง 1. คำพูดดั้งเดิมอันค้นหามูลมิได้ว่าเนื่องมาจากธาตุอะไร หรือ
ปรุงขึ้นจากธาตุอะไร เป็นวาจาที่ใช้พูดกันมาแต่โบราณ เหมือนคำว่า
กํ. น้ำ. ขํ. ฟ้า. กุ. คำพูด เป็นต้น เรียกสัญชาติศัพท์หรือชาติศัพท์.

แม้ในภาษาไทยก็มีใช้เหมือนกัน เช่นคำว่า ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นต้น ล้วน
เป็นคำเดิมทั้งสิ้น. คำพูดผสมซึ่งปรุงขึ้นจากธาตุและปัจจัยต่าง ๆ สำเร็จ
โดยสาธนวิธีแห่งนามกิตก์บ้าง อย่างอื่นบ้าง และบัญญัติว่าศัพท์นั้นหรือ
คำนั้นเป็นชื่อของสิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือหมายความว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เหมือน
อย่างคำว่า ปุริโส บุรุษ (ปุร+อิส) ภิกฺขุ ภิกษุ (ภิกฺข+รู) เป็น
อาทิ เรียกสัญญัติศัพท์ ๆ นี้ในภาษาไทยก็มีใช้เหมือนกัน เช่นคำว่า
โรงเรียน (โรง+เรียน ) ร้านค้า (ร้าน+ค้า) เป็นต้น.
นามศัพท์
คำนี้ ก็คือนามและศัพท์ดังกล่าวแล้ว เป็นแต่รวมเข้าด้วยกัน
แปลว่าศัพท์ที่แสดงนามคือชื่อหรือสำเนียงที่แสดงนาม อันหมายความ
ว่าสำเนียงหรือเสียงที่บ่งถึงชื่อนั้นเอง เรียกว่า นามศัพท์ ๆ นั้นแบ่งเป็น
3 อย่าง คือ นามนาม 1 คุณนาม 1 สัพพนาม 1.
นามนาม
นามที่เป็นชื่อของคน สัตว์ ที่ สิ่งของ และสภาพต่าง ๆ เรียก
นามนาม. มนุษย์ทุกจำพวกซึ่งมีอวัยวะคล้ายคลึงกัน รวมเรียกว่า
"คน" สัตว์มุกจำพวกต่างโดยช้าง ม้า โค กระบือ เป็นต้น เป็นสัตว์มี
เท้าก็ตาม ไม่มีเท้าก็ตาม มีปีกก็ตาม ไม่มีปีกก็ตาม หรือที่พิเศษนอก
ไปจากนี้ก็ตาม รวมเรียกว่า "สัตว์" ของอยู่เป็นที่เช่นแผ่นดินก็ดี ของที่
เนื่องกับแผ่นดินเช่นต้นไม้หรือเรือนก็ดี หรือสิ่งอื่น ๆ อันนับว่าเป็นที่
อยู่อาศัย รวมเรียกว่า "ที่ " สิ่งของทุกประเภทต่างโดยเป็นเครื่อง

อุปโภค เช่นเสื้อผ้าหรือเครื่องใช้อย่างอื่น ๆ เป็นต้นก็ดี เป็นเครื่อง
บริโภคต่างโดยข้าวน้ำเป็นต้นก็ดี รวมเรียกว่า "สิ่งของ" สภาพหรือ
ธรรมชาติต่าง ๆ ต่างโดยฌานและสมาบัติเป็นต้น รวมเรียกว่า "สภาพ"
ชื่อของคนเป็นต้นเหล่านี้ เรียกว่า "นามนาม" แปลว่า "ชื่อของ
สิ่งที่มีชื่อ."
สาธารนาม
นามนามนั้นยังแยกประเภทออกไปอีก คือเป็นนามที่ทั่วไปแก่
สิ่งอื่นได้อย่าง 1 เป็นนามที่ไม่ทั่วไปอย่าง 1 นามที่ทั่วไปแก่คนสัตว์
ที่ อื่นได้ เหมือนคำว่า มนุสฺโส มนุษย์ ติรจฺฉาโน สัตว์ดิรัจฉาน
นครํ เมือง เป็นต้น เรียก สาธารณนาม แปลว่านามที่ทั่วไป หรือชื่อ
ที่ทั่วไปอย่าง 1.
อสาธารณนาม
นามที่ตรงกันข้าม คือเป็นนามที่ไม่ทั่วไป เป็นนามเจาะจง
เฉพาะอย่างหนึ่ง ๆ เหมือนคำว่า ทยฺยเทโส ประเทศไทย เอราวโณ
ช้างชื่อเอราวัณ พิมฺพิสาโร พระราชานามว่าพิมพิสารเป็นต้น เรียก
อสาธารณนาม แปลว่านามที่ไม่ทั่วไป หรือเป็นชื่อที่เฉพาะไม่ทั่วไป.
หากจะมีคำถามว่า คนไทยเป็นนามประเภทไหน ? คือเป็น
สาธารณนาม หรือ สารธารณนาม เมื่อเป็นเช่นนี้พึงเฉลยว่า ข้อนั้น
สุดแล้วแต่ความหมาย ถ้าประสงค์จะให้คนไทยเป็นสาธารณนามก็ได้
เพราะคนไทยมีทั่วไปในประเทศไทย หากประสงค์จะให้คนไทยเป็น

อสาธารณนามก็ได้ เพราะคนไทยมิได้มีทั่วไปแก่คนทั้งโลก มี จีน แขก
ฝรั่ง เป็นต้น แม้คำอื่น ๆ ที่เหมือนกับคำนี้ ก็พึงทราบโดยนัยดังกล่าว
แล้ว.
คุณนาม
ธรรมดานามนามย่อมมีลักษณาการประจำอยู่ทั้งสิ้น และลักษณะ
ของนามนามนั้นย่อมมีหลายอย่างต่าง ๆ กัน เช่นคน ย่อมมีโง่ ฉลาด
สูง ต่ำ ดำ ขาว อ้วน ผอม เป็นต้น, ต้นไม้ ย่อมมีงาม ไม่งาม เฉา
สดชื่น เล็ก ใหญ่ เป็นต้น, แม้ถึงสถานที่หรือสิ่งของอื่น ๆ ก็เหมือนกัน
ด้วยเหตุนี้ จึงต้องมีคำพูดชนิดหนึ่งดังว่านั้น สำหรับประกาศลักษณะ
ของนามนามให้เป็นที่เข้าใจ คือเป็นเครื่องช่วยให้รู้จักนามนามนั้นชัด
เจนขึ้นว่า นามนามนั้นมีลักษณะเช่นไร เช่นคนก็ให้รู้ว่าเป็นคนประ-
เภทไหน โง่หรือฉลาด ดีหรือชั่วเป็นต้น เรียกคุณนาม เพราะเป็น
นามที่แสดงลักษณะของนามนาม ถ้ามีแต่นามนาม ไม่มีคำคุณเข้าประ
กอบ เมื่อยังไม่รู้ไม่เห็นเอง ก็ไม่อาจรู้คุณลักษณะนั้น ๆ ได้ เช่น ปุริโส
ชาย เราก็รู้แต่เพียงว่าเขาเป็นชายหาใช่ผู้หญิงไม่ ยังมิได้แสดงให้รู้คุณ
ลักษณะซึ่งเป็นภาวะของเขา ต่อมีคุณนามซึ่งแสดงลักษณะประกอบอยู่
ด้วยดังเช่นคำว่า ปญฺญวา ปุริโส บุรุษมีปัญญา ดังนี้ เราก็รู้ลึกซึ้งเข้าอีก
ว่าผู้ชายที่ได้ออกชื่อนั้น เป็นคนมีปัญญา หาใช่คนโง่เขลาไม่ ในกาลบาง
คราวถึงกับต้องใช้คุณนามเป็นเครื่องหมายที่มีชื่อพ้องกัน ให้ต่างกันว่า
นั่นเป็นคนนั้น นี่เป็นคนนี้ ซึ่งเรียกว่าให้ฉายาหรือมีฉายา มีใช่ทั้งภาษา
ไทยและภาษามคธ ในพากย์มคธ เช่น มหาปาโล นายปาละใหญ่

จุลฺลปาโล นายปาละน้อย กาฬุทายี พระอุทายีดำ โลลุทายี พระ-
อุทายีเลอะเป็นต้น ในพากย์ภาษาไทยเช่น นายแดงใหญ่ นายแดงเล็ก
หรือนายแดงเก่า นายแดงใหม่เป็นต้น คำที่แสดงลักษณะเหล่านี้
ล้วนเป็นเครื่องหมายคุณนามทั้งสิ้น.
คุณนามแบ่งเป็น 3
ตามธรรมดาสิ่งทั้งปวง ย่อมมีคุณลักษณะประจำอยู่ทุกชนิด
ดังกล่าวแล้ว แม้จะมีเหมือนกันก็จริง แต่ก็ไม่เสมอกันทั้งหมด ย่อมมียิ่ง
และหย่อนกว่ากัน ตัวอย่าง พระ ก. ฉลาด พระ ข. ฉลาด พระ ค.
ก็ฉลาด เพียงเท่านี้แสดงว่าเป็นพวกฉลาดด้วยกัน แต่ก็ยังยิ่งและหย่อน
สมมติว่า พระ ก. เป็นผู้ฉลาด แต่พระ ข. ยังเฉียบแหลมยิ่งไปกว่านั้น
ต้องจัดให้พระ ข. เป็นผู้ฉลาดกว่าพระ ก. ส่วนพระ ค เป็นผู้ฉลาดไม่
มีตัวจับ คือหาผู้เปรียบเสมอมิได้ เป็นยอดเยี่ยมกว่าทุก ๆ คน เช่นนี้
พระ ค. ต้องนับว่าฉลาดกว่าพระ ก. และพระ ข. จัดเป็นฉลาดที่สุด
แม้สิ่งของที่ไร้วิญญาณก็เหมือนกัน ย่อมมีลักษณะแตกต่างกันเป็นชั้น
สามัญชั้นกลางและดีเยี่ยม โดยอนุมานนี้จึงแบ่งคุณนามออกเป็น 3 ชั้น
คือ ปกติ 1 วิเสส 1 อติวิเสส 1.
ปกตินั้น ได้แก่คำคุณที่แสดงลักษณะสามัญ คือเป็นลักษณะ
ธรรมดา ไม่ยิ่งไม่หย่อน ไม่ถึงกับเป็นชั้นยอดเยี่ยม ไม่มีอุปสัคและ
ปัจจัยเพิ่มข้างหน้าหรือข้างหลัง เช่น ปณฺฑิโต เป็นบัณฑิต ปญฺญวา
มีปัญญา เป็นต้น.
วิเสสนั้น ได้แกคุณนามที่เป็นชั้นปกตินั้นเอง แต่มีคำว่า "ยิ่ง"

หรือ "กว่า" เพราะมีกำหนด. คำใดมี อติ (ยิ่ง ) อุปสัคนำหน้าปกติบ้าง
มี ตร หรือ อิย อิยิสฺสก ปัจจัยต่อท้ายศัพท์ปกติบ้าง เช่นคำว่า
อติปณฺฑิโต เป็นบัณฑิตยิ่ง ปณฺฑิตตโร เป็นบัณฑิตกว่า กนิโย
้้น้อยกว่า ปาปิยิสฺสโก เป็นบาปกว่า ดังนี้ เมื่อพบศัพท์ดังกล่าวนั้น
หรือศัพท์อื่น ๆ ที่มีรูปเป็นอย่างเดียวกันกับศัพท์เหล่านี้ พึงเข้าใจว่า
ศัพท์เหล่านั้นเป็นพวกวิเสส เพราะแปลกจากชั้นปกติสามัญ แต่ไม่ถึง
กับเลิศที่สุด.
อติวิเสสนั้น ได้แก่คุณนามที่แสดงลักษณะดีหรือชั่วมากที่สุด
หรือน้อยที่สุด เช่นดีก็ดีอย่างที่สุด ชั่วก็ชั่วอย่างที่สุด ไม่ใช่ดีหรือชั่ว
ธรรมดา หรือยิ่งกว่าสามัญเพียงเล็กน้อย สังเกตตามภาษาไทยว่า "เกิน
เปรียบ, ยิ่งนัก, ที่สุด" แนบอยู่กับศัพท์อันแสดงลักษณะนั้น. สังเกต
ตามภาษามคธมีอุปสัคและนิบาต คือ อติวิย (เกินเปรียบ) นำหน้า
เช่น อติวิยปณฺฑิโต เป็นบัณฑิตเกินเปรียบ เป็นบัณฑิตยิ่งนัก หรือมี
ตม. อิฏฺฐ. ปัจจัยแนบหลัง เช่น ปาปตโม เป็นบาปที่สุด หีนตโม เลว
ที่สุด กนิฏฺโฐ น้อยที่สุด ดำดังว่ามานี้ หรือที่ยังไม่ได้นำมากล่าว แต่มี
ลักษณะเช่นนี้ พึงทราบว่าเป็นคุณนามชั้นอติวิเสสทั้งสิ้น.
อนึ่ง คุณนามที่ใช้เป็นคุณบทของนามนามหลายบท จะใช้คุณนาม
เพียงบทเดียวก็ได้ ถ้าเรียงอยู่ใกล้นามนามที่เป็นลิงค์ใด พึงประกอบให้
เหมือนนามนามที่เป็นลิงค์นั้น. ตัวอย่าง อญฺญาตโก คหปติ วา คหปตานี
วา
พ่อเจ้าเรือนก็ดี แม่เจ้าเรือนก็ดี ผู้มิใช่ญาติ (สิกขาบทที่ 7 นิสสัคคิย)
อญฺญาตโก อยู่ใกล้ คหปติ ซึ่งเป็น ปุํ. แต่เป็นคุณของ คหปตานี ด้วย.