วินัยมุข เล่ม 2
สิกขาบทนอกพระปาติโมกข์
อภิสมาจาร
สิกขาบทแผนกนี้ มาในขันธกะเป็นพื้น ไม่ได้บอกจำนวน
เหมือนสิกขาบทมาในพระปาติโมกข์ จัดเป็นพวก ๆ ตากิจหรือ
วัตถุ เรียกว่าขันธกะอันหนึ่ง ๆ เช่นว่าด้วยทำอุโบสถ จัดไว้พวก
หนึ่ง เรียกว่าอุโบสถขันธกะ ว่าด้วยจีวร จัดไว้อีกพวกหนึ่ง เรียก
จีวรขันธกะ มาในที่อื่นก็มี เช่นในนิทานต้นบัญญัติแห่งสิขาบท
มาในพระปาติโมกข์บ้าง ในวินีตวัตถุเรื่องสำหรับเทียบเคียงตัดสิน
อาบัติในคัมภีร์วิภังค์บ้าง มาในอรรถกถาที่เรียกวาบาลีมุตตกะบ้าง.
จะกล่าวไปตามแนวคัมภีร์ขันธกะ ก็ไม่เหมาะ เพราะประการทั้งหลาย
คือ ข้อทั้งหลายที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ขันธกะ อันพ้นจากมุขแห่งปฏิบัติ
จะไม่กล่าวถึงก็มี ที่ยังสับสนหรือยังควรจะจัดเข้าพวกได้อีกก็มี ข้อ
นอกคัมภีร์ขันธกะ อันจะเก็บมารวบรวมก็มี ในที่นี้จึงจำเป็นจะจัด
หมวดใหม่ สุดแต่จะเหมาะได้อย่างไร แต่จะทำตามวิธีนั้น คือจัด
เป็นหมวดกันตามกิจหรือวัตถุ.
และสิกขาบทแผนกนี้ มีรูปเป็น 2 คือ เป็นข้อห้าม 1
เป็นข้ออนุญาต 1. และข้อห้ามนั้นปรับอาบัติโดยตรงมีเพียง 2 คือ
ถุลลัจจัย 1 มีห่าง ๆ และพ้นจากมุขแห่งปฏิบัติ, ทุกกฏ 1 มีเป็น
พื้นไป ที่ไม่ได้ปรับอาบัติโดยตรง เป็นแต่กล่าวว่า อย่า ๆ ไม่ ๆ
เป็นคำแนะคำสอนก็มี เช่นนี้มีอยู่ในกถาทั้งหลายอันกล่าวเป็นเรื่อง ๆ
ไป เมื่อไม่เอื้อเฟื้อในที่จะเว้น พระอาจารย์ท่านปรับเป็นทุกกฏ
ดุจในเสขิยะ. ข้อที่อนุญาตนั้น น่าจะเห็นว่าเป็นประทานประโยชน์
พิเศษ เช่นทรงอนุญาตวัสสิกสาฎก ไม่ได้บังคับว่า ภิกษุทุกรูป เมื่อ
ถึงฤดูฝนจะต้องมีผ้าอาบน้ำฝน เป็นแต่ถ้าต้องการก็มีได้ ใช้จีวรได้
มากผืนออกไปกว่าไตรจีวร แต่มีอนุญาตบางแห่ง เป็นเหมือนข้อ
ห้าม เช่นอนุญาตเพื่อปิดประตูก่อนแล้วจึงนอนในกลางวัน นี้ไม่ใช่
ประโยชน์พิเศษเลย กลับเป็นเครื่องผูกมัด ควรจะว่า " อันภิกษุ
ผู้จะพักในกลางวัน พึงปิดประตูเสีย ภิกษุใดไม่ปิด ต้องทุกกฏ "
เช่นนี้ความจะชัด แต่อย่างไรจึงเป็นอนุญาติไป ข้าพเจ้าเข้าใจว่า
เป็นเพราะเรียงคำเผลอไป เพราะมีเป็นบางแห่ง พระคันถรจนา-
จารย์หมายเอาอนุญาตเช่นนี้กล่าวไว้ว่า ไม่ทำตามต้องอาบัติทุกกฏ.
ส่วนอนุญาตมีปริกัปเห็นได้แท้ เช่นอนุญาตสัตตาหกาลิกในวิกาล ต่อ
เมื่อมีปัจจัยจึงให้ฉันได้ เมื่อปัจจัยไม่มีและฉัน เป็นอันถือประโยชน์
พิเศษเกินไป ท่านปรับทุกกฏชอบอยู่. ยังข้อที่สอนให้ทำว่าควร
อย่างนั้น ๆ จะเรียกข้ออนุญาตโดยอ้อมก็ได้ เมื่อไม่ทำตามข้อ
เช่นนี้ จะปรับทุกกฏ เพราะไม่เอื้อเฟื้อก็ชอบอยู่ พึงรู้จักข้ออนุญาต
อันให้ประโยชน์พิเศษ หรือบังคับให้ทำ ดังนี้.
อาบัติที่ปรับแก่ภิกษุผู้ละเมิดในแผนกนี้ มีแต่ถุลลัจจัยกับ
ทุกกฏเท่านั้น และถุลลัจจัยก็มีห่าง ทั้งพ้นจากทางแห่งปฏิบัติด้วย
ข้าพเจ้าจักไม่ออกชื่ออาบัติ เว้นไว้แต่ที่เป็นถุลลัจจัย จะบอกให้
แจ้ง ผู้ศึกษาพึงเข้าใจเอาเอง ตามหลักที่กล่าวแล้วในตอนหลัง
เรียงเช่นนี้เห็นว่าจะน่าอ่านน่าฟังกว่า. พึงเข้าใจทุกกฏในที่นี้ว่า เป็น
แต่ลำพังวิติกกมะ คือความละเมิดธรรมเนียม เป็นการเสียหายได้
เพียงไร พึงรู้ดังนี้ :-
ถ้าล่วงแต่บางอย่างหรือบางครั้ง ก็ไม่พอเป็นอะไร แต่ถ้า
ล่วงมากอย่างหรือเป็นนิตย์ไป ธรรมเนียมย่อมกลายไป หรือเสื่อม
เสียไป ภิกษุต่างเป็น 2 พวก คือเคร่งและไม่เคร่ง ก็เพราะพวก
เคร่งยังรักษาธรรมเนียมแข็งแรง พวกไม่เคร่งทอดธุระเสีย ไม่
เอื้อเฟื้อในอันทำตาม. รู้เช่นนี้แล้ว พึงปฏิบัติโดยสายกลาง ไม่ทำ
ตนให้ลำบากเพราะธรรมเนียมอันขัดขวางต่อกาลเทศะ และไม่มัก
ง่ายจนถึงจะทำตนให้เป็นผู้เลวทราม, ปฏิบัติเพียงเท่านี้ ก็เรียกได้ว่า
งาม ยังพอจะสืบอายุพระพุทธศาสนาได้อยู่.
แต่นี้จักแสดงอภิสมาจาร คือธรรมเนียมของภิกษุ จัดเป็น
กัณฑ์ ๆ ตามเรื่อง ดังต่อไปนี้
กัณฑ์ที่ 11
กายบริหาร
ข้อ 1 อย่าพึงไว้ผมยาว จะไว้ได้เพียง 2 เดือน หรือ 2 นิ้ว
อธิบายว่า เมื่อถึงกำหนด 2 เดือน แม้ผมยังไม่ถึง 2 นิ้ว ก็
พึงปลงเสีย หรือยังไม่ทันถึง 2 เดือน แต่ผมยาวถึง 2 นิ้วแล้ว ก็
พึงปลงเสียเหมือนกัน.
เข้าใจว่า ธรรมเนียมนี้มีขึ้นโดยลำดับกาล ในครั้งแรก พวก
ภิกษุคงไว้ผมยาวกว่านี้ จึงได้มีข้อห้ามไม่ให้หวีผมด้วยหวีหรือด้วย
แปรง ห้ามไม่ให้เสยผมด้วยนิ้วมือโดยอาการว่าหวี ห้ามไม่ให้แต่ง
ผมด้วยน้ำมัยเจือขี้ผึ้ง หรือด้วยน้ำมันเจือน้ำ ห้ามไม่ให้ตัดผมด้วย
ตะไกร เว้นไว้แต่อาพาธ และห้ามไม่ให้ถอนผมหงอก กิจเหล่านี้
สำหรับคนผมยาวกว่า 2 นิ้วทั้งนั้น. และคงไม่มีกำหนดลงเป็นแน่
เป็นแต่เห็นว่ายาวก็ปลงกันเสียคราวหนึ่ง แต่คงไม่ยาวเกินไปจนโกน
ด้วยมีดไม่สะดวก ในพวกนิครนถ์เขาไว้ผมตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไปหา
4 เดือน. ผม 4 เดือนดูพอสมจะหวีและแต่ง ที่ห้ามไว้.
ข้อ 1 อย่าพึงไว้หนวดไว้เครา.
ในข้อนี้ ไม่มีกำหนดชัดเหมือนผม แต่คงไม่ยาวจนถึงจะแต่งให้
มีสัณฐานต่าง ๆ ได้ และโกนด้วยมีดไม่สะดวก. แต่เดิมคงไว้ยาว
จึงมีข้อห้ามไม่ให้แต่งหนวด และห้ามไม่ให้ตัดหนวดด้วยตะไกร.
ข้อ 1 อย่าพึงไว้เล็บยาว พึงตัดเสียด้วยมีดเล็กพอเสมอเนื้อ,
และอย่าพึงขัดเล็บให้เกลี้ยงเกลา แต่เล็บเปื้อน จะขัดมลทิน หรือ
จะแคะมูลเล็บ ได้อยู่ นี้เป็นกิจที่ควรทำ.
ข้อ 1 อย่าพึงไว้ขนจมูกยาว พึงถอนเสียด้วยแหนบ.
ขนจมูกนี้ แสดงในตำราสรีรศาสตร์ว่า มีประโยชน์รับธุลีอัน
ตามอากาศที่สูดเข้าไปในเวลาหายใจไว้ ไม่ให้เข้าไปในปอด แต่มี
ข้อห้ามอย่างนี้ คงเพ่งขนที่ยาวออกมานอกช่องจมูก.
ข้อ 1 อย่าพึงให้นำเสียซึ่งขนในที่แคบ คือในร่มผ้าและที่รักแร้
เว้นไว้แต่อาพาธ. ในเวลาเช่นนั้น จะให้นำเสียเพื่อทายาหรือพวกยา
ได้อยู่ แต่ในที่อื่น ที่แคบหมายเอาช่องทวารหนัก ห้ามถอนขน
ของทวารหนักก็เป็นได้.
ข้อ 1 อย่าพึงผัดหน้า อย่าพึงไล้หน้า อย่างพึงทาหน้า อย่า
พึงย้อมหน้า อย่าพึงเจิมหน้า อย่าพึงย้อมตัว เว้นไว้แต่อาพาธ.
ผัดหน้านั้น คือใช้แป้งผงลูบให้ผิวมีนวล. ไล้หน้านั้น พึงเห็น
เช่นใช้ฝุ่นละลายน้ำทา แห้งแล้วลูบให้เสมอ ทำให้ผิวหน้าขาว เรา
เรียกว่าผัดหน้าเหมือนกัน ตามปกติไม่ได้ใช้ เขาผัดอย่างนี้แต่หน้า
ของเด็กโกนจุกและหน้าของละคร แต่ในบาลีท่านเรียกแยกกัน ช่าง
สมนี่กระไร ไล้หน้าแท้ ๆ. ทาหน้านั้น เช่นทาแป้ง. ย้อมหน้านั้น
เช่นทาขมิ้น. เจิมหน้านั้น เช่นเจิมด้วยกระแจะที่ผู้ใหญ่ทำให้ผู้น้อย
ในคราวมงคล แต่ในบาลีว่า เจิมด้วยมโนศิลา คือน้ำยาหรือสีที่
ใช้เขียนรูปภาพ ข้อนี้แปลกอยู่ เคยได้ยินแต่พวกฮินดู เจิมหน้า
ด้วยมูลโค. การเขียนหน้า ป้ายหน้าด้วยสีนั้น ดูเก่ากว่าครั้งพุทธ-
กาล เขาใช้เพื่อจะทำหน้าให้ขึงขัง หรือน่ากลัวขึ้นกว่าปกติ พวก
จีนคงเคยได้ใช้มาแล้ว พวกงิ้วเล่นเรื่องโบราณจึงเขียนหน้า. ย้อม
ตัวนั้น พึงเห็นเช่นทาขมิ้น. ข้อเหล่านี้ ห้ามเฉพาะเพื่อทำให้สวย
อาพาธเช่นเป็นโรคที่ผิว จะทายาเป็นต้นว่าไพลได้อยู่ ในบาลีกล่าว
ไว้เฉพาะหน้า แม้ตัวก็เหมือนกัน.
ข้อ 1 อย่าพึงแต่งเครื่องประดับต่าง ๆ เป็นต้นว่า ตุ้มหู
สายสร้อย สร้อยคอ สร้อยเอง เข็มขัด บานพับ [ สำหรับรัดแขน ]
กำไลมือ และแหวน.
ข้อ 1 อย่าพึงส่องดูเงาหน้าในกระจงหรือในวัตถุอื่น อาพาธ
เป็นแผลที่หน้า จะส่องดูแผลเพื่อตรวจหรือเพื่อทายา ปิดยา ได้อยู่.
ครั้งยังไม่มีกระจกเงา เขาทำแผ่นทองเหลืองกลมขัดชัดเงาจน
ส่องเห็น เรียกว่าแว่น ใช้ส่องดูเงาหน้า ในแว่นนี้บ้าง ในน้ำบ้าง
ในบาลีจึงกล่าวห้ามไม่ให้ส่องดูเงาหน้าในของเช่นนั้น. การส่องเงา
หน้านี้เนื่องในการแต่งตัวนั้นเอง ห้ามแต่งตัวแล้ว จึงห้ามส่องเงา
หน้าด้วย ทรงอนุญาตให้ส่องได้เมื่ออาพาธ ชื่อว่าทรงอนุญาตให้
ส่องเพื่อทำธุระได้ เพราะเหตุนั้น จะส่องกระจกโกนหนวดโกนผม
ที่ตนทำเองเพื่อสะดวก เห็นไม่มีโทษ แต่ไม่ส่องก็ทำได้เหมือนกัน.
ข้อ 1 อย่าพึงเปลือยกายในที่ไม่บังควร ในเวลาไม่บังควร
ถ้าเปลือยเป็นวัตรเอาอย่างเดียรถีย์ ต้องถุลลัจจัย ถ้าเปลือยทำกิจ
แก่กัน คือ ไหว้ รับไหว้ ทำบริกรรม ให้ของ รับของ และ
เปลือยในเวลาฉัน ในเวลาดื่ม ต้องทุกกฏ. แต่ในเรือนไฟและในน้ำ
ทรงอนุญาตให้เปลือยกายได้ จะทำบริกรรม คือ นวดฟั้นหรือประคบ