สมถกัมมัฏฐาน
ของ
พระธรรมไตรโลกาจารย์ (เดช) วัดเทพศิรินทราวาส
ศุภมัตถุ ขอความงามความดีจงมีแก่กุลบุตรผู้มีศรัทธาบำเพ็ญเพียร
จะเจริญสมถภาวนานี้. เมื่อท่านจะเจริญ พึงศึกษาเนื้อความแห่งสมถ-
ภาวนานี้ ให้รู้ด้วยดีก่อนดังนี้ว่า ธรรมเป็นเครื่องสงบระงับของจิต ชื่อ
ว่าสมถะ อนึ่ง ว่าธรรมอันให้จิตสงบระงับไปจากนิวรณูปกิเลส ชื่อว่า
สมถะ อนึ่ง ความสงบระงับของจิตในภายใน ชื่อว่าสมถะ กุลบุตร
ผู้มีศรัทธามาเจริญสมถะ ทำให้เกิดขึ้นด้วยเจตนาอันใด เจตนาอันนั้น
ชื่อว่าสมถภาวนา อนึ่ง ยังสมถะเป็นอุบายเครื่องสงบระงับของจิตให้
เกิดขึ้น ชื่อว่าสมถภาวนา.
เมื่อกล่าวโดยเนื้อความแล้ว เจตนาอันเป็นไปในสมถกัมมัฏฐาน
หมดทั้งสิ้น ชื่อว่าสมถภาวนา สมถภาวนานี้เป็นอุบายเครื่องสำรวมปิด
กั้นนีวรณูปกิเลส มิให้เกิดขึ้นครอบงำจิตสันดานได้ ดังบุคคลปิด
ทำนบกั้นน้ำไว้มิให้ไหลไปได้ฉะนั้น อนึ่ง ว่าเป็นอุบายข่มสะกดจิตไว้
มิให้ดิ้นรนฟุ้งซ่านไปได้ ดังนายสารถีฝึกม้าให้เรียบร้อย ควรเป็นราช-
พาหนะได้ฉะนั้น. ก็ธรรมซึ่งเป็นอารมณ์เครื่องสงบระงับของจิตให้
สำเร็จเป็นสมถภาวนานี้ ในพระบาลีซึ่งเป็นพุทธภาษิตที่พระพุทธเจ้า
ตรัสเทศนา มีมากหลายอย่างหลายประการ เหมือนอย่างอภิณหปัจจ-
เวกขณวิธี ให้พิจารณาที่ทั้ง 5 สถาน คือกำหนดว่าตนและสัตว์อื่นมี
ความแก่ เจ็บ ตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ เจ็บ ตายไปได้ และ
จะต้องวิโยคพลัดพรากจากสัตว์และสังขาร สิ่งของที่รักใคร่ และมีกรรม
คือบุญบาปที่ตนทำไว้เป็นของ ๆ ตน เป็นต้นฉะนี้จนละนีวรณูปกิเลส
ได้ ขณะหนึ่งครู่หนึ่งก็ดี ก็จัดเป็นสมถภาวนา. อนึ่ง ในสติปัฏฐาน
ทั้ง 4 คือ กายานุปัสสนา ปัญญาพิจารณาตามเห็นซึ่งกาย โดยบรรพ
14 ข้อ คือ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกยาวสั่นหยาบละเอียดเป็นต้น
เรียกว่าอานาปานบรรพข้อ 1 คือ กำหนดรู้ อิริยาบถ 4 ยืน เดิน นั่ง
นอน ว่า สำเร็จเป็นไปได้ เพราะลมและจิตที่คิด เรียกว่าอิริยาปถ-
บรรพข้อ 1 กำหนดรู้รอบคอบในวิการของกาย มีก้าวไปข้างหน้าและ
ถอยกลับมาข้างหลังเป็นต้น ทุกขณะวิการของกายมิได้ลุ่มหลง เรียกว่า
สัมปชัญญบรรพข้อ 1 กำหนดพิจารณากายตน และกายผู้อื่นโดยความ
เป็นของปฏิกูลไม่งามไม่สะอาด เต็มไปด้วยอสุภะเป็นของไม่งามเน่า
เกลียด 31 ส่วน มีผมขนเล็บฟันหนังเป็นต้น เรียกว่าปฏิกูลบรรพข้อ 1
พิจารณากายตนและกายผู้อื่นโดยธาตุ 4 คือสิ่งแข็งกระด้าง กำหนดว่า
เป็นธาตุดิน สิ่งที่อ่อนที่เหลวซึมซาบไปในดิน ทำให้ดินเหนียวติดกัน
เป็นก้อนอยู่ได้ กำหนดว่าเป็นธาตุน้ำ สิ่งที่ทำดินและน้ำนั้นให้อุ่นให้
ร้อนไห้แห่งเกรียมไปเป็นต้นกำหนดว่าเป็นธาตุไฟ สิ่งที่อุปถัมภ์อุดหนุน
พยุงดินและน้ำไว้ และทำให้ไหวติงไปมาได้ และรักษาไฟไว้มิให้ดับไป
ได้ กำหนดว่าเป็นธาตุลม เรียกว่าธาตุบรรพข้อ 1 อนึ่งเมื่อได้เห็นอสุภ
9 อย่าง คือซากศพที่เขาทิ้งไว้ในต่าง ๆ มีป่าช้าเป็นต้น อันตายแล้ววัน
หนึ่งหรือ 2 วัน 3 วัน ขึ้นพองมีสีเขียวและมีบุพโพไหลออกอยู่ 1 คือ
ซากศพที่เขาทิ้งไว้ อันสัตว์ทั้งหลายมีสุนัขเป็นต้นกัดกินแล้ว 1 คือซาก
ศพที่เข้าทิ้งไว้โทรมลงเป็นร่างกระดูกมีเนื้อและเส้นเอ็นรึงรัดผูกพันอยู่ 1
คือซากศพที่เขาทิ้งไว้ โทรมลงเป็นร่างกระดูกมีเนื้อและเลือดหมดไป
แล้ว ยังแต่เส้นเอ็นรึงรัดผูกพันอยู่ 1 คือซากศพที่เขาทิ้งไว้ โทรมลง
เป็นร่างกระดูกมีเนื้อและเลือดและเส้นเอ็นที่รึงรัดหมดสิ้นไปแล้วเหลือ
แต่กระดูก 1 คือซากศพที่เขาทิ้งไว้ มีกระดูกเคลื่อนหลุดขาดจากที่ผูก
ที่ต่อ เรี่ยรายกระจัดกระจายอยู่ในที่ต่าง ๆ 1 คือซากศพที่เขาทิ้งไว้เป็น
กระดูกมีพรรณขาวดังสังข์ 1 คือซากศพที่ทิ้งอยู่เป็นกระดูกเรี่ยรายเป็น
กอง ๆ ทนแดดทนฝนอยู่ มีเห็ดราเกิดขึ้นทิ้งอยู่ล่วง 3 ปีไปแล้ว 1 คือ
ซากศพที่ทิ้งเป็นกระดูกผุย่อย ป่นละเอียดเป็นจุณไป 1 อสุภ 9 อย่างซึ่ง
ว่ามานี้ เรียกว่าสีวถิกาบรรพ 9 ข้อ รวมเป็น 14 ข้อด้วยกัน เรียกว่ากาย
เพราะเป็นเอกเทศของกายอย่างหนึ่ง ๆ กุลบุตรมาตามเห็นด้วยปัญญา
พิจารณาซึ่งกาย โดยบรรพ 14 ข้อใดข้อหนึ่งซึ่งว่ามานี้ จนละองค์ 5 คือ
นีวรณ์ 5 เสียได้ และประกอบด้วยองค์ 5 คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข
เอกัคคตา อย่างนี้ เป็นตัวสมาธิเกิดขึ้น ชื่อว่าสมถภาวนา. อนึ่งเวทนานุ-
ปัสสนา ปัญญาตามเห็นพิจารณาซึ่งเวทนาเป็นอารมณ์ก็ดี จิตตานุปัสสนา
ปัญญาตามเห็นพิจารณาซึ่งจิตเป็นอารมณ์ก็ดี ธัมมานุปัสสนา ปัญญา
ตามเห็นพิจารณาซึ่งธรรมเป็นอารมณ์ก็ดี ถ้าอนัตตายังไม่ปรากฏแจ้งชัด
ในสันดานเพียงใด ก็ยังเป็นสมถภาวนาอยู่เพียงนั้น.
ธรรมที่เป็นอารมณ์ของสมถภาวนานี้ มีมากหลายอย่างหลายประ-
การนัก เพราะเหตุนั้น กุลบุตรผู้ที่จะเจริญสมถภาวนานี้ พึงสันนิษฐาน
ทราบเถิดว่าธรรมเหล่าใดเป็นเครื่องสงบระงับของจิต เมื่อจิตตรึกคิดอยู่
เนือง ๆ แล้ว ย่อมละองค์ 5 และประกอบด้วยองค์ 5 ให้สำเร็จเป็น
สัมมาสมาธิขึ้นได้แล้ว ธรรมเหล่านั้นก็จัดเป็นอารมณ์ของสมถภาวนา
หมดทั้งสิ้น. ก็แต่ในคัมภีร์อภิธรรมสังคหะ และคัมภีร์วิสุทธิมรรค ท่าน
แสดงธรรมที่เป็นอารมณ์ของสมถภาวนาไว้ 7 หมวด แตกออกเป็น
อย่าง ๆ จัดได้ 40 ประการ. ธรรม 7 หมวดนั้น คือ กสิณ 10
หมวด 1 อสุภ 10 หมวด 1 อนุสสติ 10 หมวด 1 พรหมวิการ 4
หมวด 1 อาหาเร ปฏิกูลสัญญา หมวด 1 จตุธาตุววัตถาน หมวด 1
อรูป 4 หมวด 1 รวมเป็น 7 หมวด.
กสิณ 10 นั้น คือปฐวีกสิณ เพ่งดูดิน ณ ที่ใดที่หนึ่ง บริกรรม
นึกว่าดิน ๆ ดังนี้ร่ำไป จนเกิดอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตขึ้น 1 คือ
อาโปกสิณ เพ่งดูน้ำ ณ ที่ใดที่หนึ่ง บริกรรมนึกว่าน้ำ ๆ ดังนี้ร่ำไป
จนเกิดอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตขึ้น 1 คือเตโชกสิณ เพ่งดูไฟ
ณ ที่ใดที่หนึ่ง บริกรรมนึกว่าไฟ ๆ ดังนี้ร่ำไป จนเกิดอุคคหนิมิต
และปฏิภาคนิมิตขึ้น 1 คือวาโยกสิณ เพ่งดูลมที่ปรากฏ ณ ที่ใดที่หนึ่ง
บริกรรมนึกว่าลม ๆ ดังนี้ร่ำไป จนเกิดอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต
ขึ้น 1 คือนีลกสิณ เพ่งดูสีเขียว ณ ที่ใดที่หนึ่ง บริกรรมว่าสีเขียว ๆ
ดังนี้ร่ำไป จนเกิดอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตขึ้น 1 คือปีตกสิณ เพ่งดู
สีเหลือง ณ ที่ใดที่หนึ่ง บริกรรมนึกว่าสีเหลือง ๆ ดังนี้ร่ำไป จน
เกิดอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตขึ้น 1 คือโลหิตกสิณ เพ่งดูสีแดง
ณ ที่ใดที่หนึ่ง บริกรรมนึกว่าสีแดง ๆ ดังนี้ร่ำไป จนเกิดอุคคหนิมิต
และปฏิภาคนิมิตขึ้น 1 คือโอทาตกสิณ เพ่งดูสีขาว ณ ที่ใดที่หนึ่ง
บริกรรมนึกว่าสีขาว ๆ ดังนี้ร่ำไป จนเกิดอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต
ขึ้น 1 คืออาโลกกสิณ เพ่งดูแสงสว่าง ณ ที่ปรากฏ ณ ที่ใดที่หนึ่ง
บริกรรมนึกว่าแสงสว่าง ๆ ดังนี้ร่ำไป จนเกิดอุคคหนิมิตและปฏิภาค-
นิมิตขึ้น 1 คืออากาสกสิณ เพ่งอากาศ บริกรรมนึกว่าอากาศ ๆ ดังนี้
ร่ำไป จนเกิดอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตขึ้น 1 รวมเป็นกสิณ 10
ก็อุคคหนิมิตในกสิณนั้น คืออารมณ์เป็นที่เพ่งดูเห็นติดตาปรากฏอยู่ ก็
ปฏิภาคนิมิตในกสิณนั้น คืออารมณ์ที่เห็นติดตาอยู่นั้นปรากฏแจ้งชัดขึ้น
ในใจด้วยบริกรรมนึกไป.
อสุภ 10 นั้น คือซากศพที่เน่าพองขึ้น 1 คือซากศพที่มีสีเขียว 1
คือซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลออกอยู่ 1 คือซากศพที่ขาดกลางตัว 1 คือ
ซากศพที่แร้งกาสุนัขเป็นต้นยื้อแย่งกัดกินแล้ว 1 คือซากศพที่มีมือและ
เท้าและศีรษะขาดไปอยู่ข้างหนึ่ง 1 คือซากศพที่คนมีเวรเป็นข้าศึกสับ
ฟันบั่นเป็นท่อน ๆ 1 คือซากศพที่ต้องประหารด้วยศัสตรา มีโลหิต
ไหลอาบอยู่ 1 คือ ซากศพที่มีตัวหนอนคลายคล่ำไปอยู่ 1 คือซากศพ
ที่ยังเหลือแต่ร่างกระดูก 1 รวมเป็นอสุภ 10. ก็ในอสุภ 10 นี้ อสุภ
อย่างใดอย่างหนึ่ง โยคาพจรกุลบุตรได้เห็นแล้วเพ่งดูให้ติดตาอยู่อย่างนี้
ชื่อว่าได้อุคคหนิมิต แล้วก็นึกให้เห็นปรากฏแจ้งชัดขึ้นในใจอย่างนี้อีก
ชื่อว่าได้ปฏิภาคนิมิต.
ก็อนุสสติ 10 นั้น คือพุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า
เป็นอารมณ์ 1 ธัมมานุสสติ ระลึกถึงคุณพระธรรมเป็นอารมณ์ 1
สังฆานุสสติ ระลึกถึงคุณพระสงฆ์เป็นอารมณ์ 1 สีลานุสสติ ระลึก
ถึงศีลที่ตนรักษาเป็นอารมณ์ 1 จาคานุสสติ ระลึกถึงทานที่ตนบริจาค
แล้วเป็นอารมณ์ 1 เทวตานุสสติ ระลึกถึงเทวดาที่มีสีลาทิคุณเสมอ
เหมือนกับด้วยตน ตั้งเทพดาเหล่านั้นไว้เป็นพยานแล้ว กลับระลึกถึง
สีลาทิคุณของตนเป็นอารมณ์ 1 อุปสมานุสสติ ระลึกถึงนิพพานว่า
เป็นที่ระงับดับเพลิงกิเลสและกองทุกข์เป็นบรมสุขอย่างยิ่งเป็นอารมณ์ 1
มรณัสสติ ระลึกถึงความตายของตนและสัตว์ผู้อื่นเป็นอารมณ์ 1 กาย-
คตาสติ ระลึกไปในกายมีผมขนเล็บฟันหนังเป็นต้น โดยความเป็นของ
ปฏิกูลเป็นอารมณ์ 1 อานาปานัสสติ ระลึกถึงลมหายใจเข้าออกยาวสั้น
เป็นต้นเป็นอารมณ์ 1 รวมเป็นอนุสสติ 10.
พรหมวิหาร 4 นั้น คือ เมตตาพรหมวิหาร คิดให้สัตว์ทั้งสิ้น
เป็นสุข ๆ ทั่วไปหมด 1 กรุณาพรหมวิหาร คิดให้สัตว์ทั้งสิ้นที่เป็น
ทุกข์อยู่ให้พ้นจากทุกข์ทั้งสิ้น 1 มุทิตาพรหมวิหาร คิดให้สัตว์ทั้งสิ้น
ที่ได้สุขสมบัติแล้ว จงดำรงอยู่ในสุขสมบัติของตน ๆ อย่างได้วิโยค
พลัดพรากจากสุขสมบัติที่ตนได้แล้ว 1 อุเบกขาพรหมวิหาร มีความ
เพิกเฉยเป็นกลาง ไม่ดีใจไม่เสียใจในสัตว์ทั้งสิ้นที่ได้สุขได้ทุกข์ 1 รวม
เป็นพรหมวิหาร 4.
อาหาเร ปฏิกูลสัญญา นั้นว่า ความหมายรู้สำคัญในอาหารที่เป็น
ของบริโภค เห็นว่าเป็นของปฏิกูลน่าเกลียดจนไม่ยินดีในรส.
จตุธาตุววัตถานนั้นว่า กำหนดพิจารณาซึ่งกายโดยเป็นธาตุทั้ง 4
คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เห็นจริงจนถอนสัตตูปลัทธิสัตตสัญญา
เสียได้.
อรูปทั้ง 4 นั้น คือ อากาสานัญจายตนะ เพ่งดูอากาศที่มีดวง