เมนู

วิปัสสนากัมมัฏฐาน
พระเถระแต่ปางก่อนเคยถวายเทศนา
นมตฺถุ สุคตสฺส
วิสฺสนา นาม ปญฺญา ยถาภูตตฺถทสฺสนี
ปญฺญา นาเมตฺถ จิตฺเตหิ สห ชาโตว เกหิจิ
เอโก สภาวธมฺโม ว ยถาภูตปฺปชานโน
สพฺพายาปายุปายตฺถ- ธมฺเมสุ เยสุ เกสุจิ
โกสลฺลตาย ปวตฺโต รูเปโสฺวภาสสาทิโส.
ตํ ปญฺญํ ภาวยนฺเตหิ โยคาวจรสาธุภิ
อุคฺคโห จ ปริปุจฺฉา จ ปริยาปุณนมฺปิ จ
ธารณญฺจ สซฺฌาโย จ อโถปิ ปจฺจเวกฺขณํ
สุฏฐุ สมฺปาทยิตพฺพํ ปณฺฑิตาเจรสนฺติเก.
ยา ยา นิรตฺถกา โลเก มิจฺฉาคาหิกทิฏฺฐิโย
สพฺพา ญาเณน โอคยฺห วชฺเชตพฺพาว สพฺพโส
ยา สาสนาคตา ปญฺญา สมฺโมทยตฺถคามินี
อริยา เสฏฺฐา นิพฺเพธิกา ทุกฺขสงฺขยคามินี.
สาเยว ภาวยิตพฺพา นิยฺยานิกา อสํหิรา
กตญาณปริจฺจเยหิ เตหิ ธีเรหิ สาธุภิ


เวทิตพฺพํ อนิจฺจญฺจ อโถ อนิจฺจลกฺขณํ
ทุกฺขํ ทุกฺขลกฺขณญฺจ อนตฺตา จ สภาวโต
อนตฺตลกฺขณญฺจาติ เอวํ ฐานานิมานิ ฉ
วิปสฺสนาภิโยคีหิ เวทิตพฺพานิ สพฺพโส.
ตํ ตํ สงฺขารคตํ ว ปจฺจเยหาภิสงฺขตํ
อุปานินฺนานุปาทินฺน- นามรูปาทิเภทนํ
ขนฺธายตนธาตฺวาทิปฺ- ปเภเทหิ วิกชฺชิตํ
หุตฺวา หุตฺวา อภาเวน อญฺญถา คติยาปิ จ
อนิจฺจนฺติ เวทิตพฺพํ สงฺเขเปน สุธีมตา.
อนิจฺจลกฺขณํ นาม อุปฺปาโท จ วโยปิ จ
อญฺญถตฺตูปคโม จ สงฺขารานํ ปุนปฺปุนํ
ทุกขเวทนาสนฺตาป- สนฺตตฺตตฺตา ตถา ตถา
อภิณฺหสมฺปีฬนํ ว วิญฺเญยฺยํ ทุกฺลกฺขณํ.
ยมานิจฺจญฺจ ทุกฺขญฺจ สุญฺญํ วเส น วตฺตติ
โส อนตฺตา เวทิตพฺโพ น โกจิ น จ กสฺสจิ
วเส อวตฺตนํเยว สภาวธมฺมมตฺตตา
สุญฺญตาสฺสามิกตฺตา จ วุจฺจตานตฺตลกฺขณํ.
เอวมิมานิ ฐานานิ วิทิตฺวาน วิเสสโต
สงฺเขปวิตฺถารนเยน นามรูปาทิเภทโต
สงฺขาเร ปริจฺฉินฺทิตฺวา ยถาลทฺเธ ติกาลิเก

เตสํ ปริคฺคเหตพฺพา ปจฺจยาปิ กถญฺจิปิ.
อตีตาทิกาลตฺตเย วิตริตฺวาน สํสยํ
เต สงฺขาเร สมฺมสิตฺวา อโรเปตฺวา ติลกฺขณํ
ภยตุปฏฺฐานญาณํ อโถ มุจฺจิตุกเมตํ
อนุกฺกเมนุปฺปาเทตฺวา ยาวสงฺขารุเปกฺขนํ
สมฺปาเทนฺเตน โยเคน ภาเวตพฺพา วิปสฺสนา
สงฺขารุเปกฺขาสงฺขาตํ ปริปกฺกวิปสฺสนํ
นิสฺสาย มคฺคํ ภาเวยฺย โลกุตฺตรํ วิวฏฺฏนํ
วิวฏฺฏนาย สิทฺธาย ปาริสุทฺธิปิ สิชฺฌติ
มคฺคจิตฺเต นิรุทฺธมฺหิ ผลานิ สมฺปวตฺตยุํ
ปจฺจเวกฺขณญาณานิ สยํ สิชฺฌนฺติ สพฺพโส.
อริยภูมึ สโมกฺกนฺโต เอวํ การกปุคฺคโล
นิพฺพานํ เตน อริเยน โหติ สจฺฉิกตํ สทา
เอตฺตาวตา สมาเสน ปญฺญากถา สุนิฏฺฐิตา
.
บัดนี้ จะได้รับพระราชทานถวายวิสัชนา ในวิปัสสนากัมมัฏฐาน
ฉลองพระเดชพระคุณประดับพระปัญญาบารมี ดำเนินความว่า กุศล
ที่แล้วด้วยภาวนา สาธุชนจะพึงบำเพ็ญให้เกิดขึ้นด้วยภาวนาอันใด
ภาวนาอันนั้นมีประเภทเป็น 2 คือ สมถภาวนา 1 วิปัสสนาภาวนา 1
ข้อซึ่งการกบุคคลมาทำอุบายเครื่องระงับจิตให้เกิดขึ้น ชื่อว่าสมถ-
ภาวนา และข้อที่การกบุคคลทำวิปัสสนาให้เกิดขึ้นในจิต ชื่อว่า
วิปัสสนาภาวนา.

ก็แลวิปัสสนานั้น คือปัญญาอันแจ้งชัด เห็นอรรถเห็นธรรม
อันมีจริงอันเป็นความจริงอย่างไร ปัญญาอันเห็นตามเป็นจริง กำหนด
สามัญญลักษณะทั้ง 3 คือ ความเป็นของไม่เที่ยง 1 ความเป็นทุกข์ 1
ความเป็นอนัตตา 1 ถอนความถือมั่น ด้วยตัณหา มานะ ทิฏฐิเสียได้
ชื่อว่าวิปัสสนาปัญญา เห็นวิเศษ เห็นแจ้ง เห็นชัด ปัญญานั้นก็เป็น
สภาวธรรมอย่างหนึ่ง เกิดพร้อมกับจิตบางเหล่า เป็นสภาพรู้ชัดตามจริง
เป็นไปโดยความเป็นผู้ฉลาด ในความเจริญและความฉิบหายและอุบาย
แห่งความเจริญและความฉิบหาย และความฉลาดในอรรถในธรรม
ทั้งหลาย เป็นผู้ส่องให้ความชัชวาล ประหนึ่งแสงสว่างในรูปทั้งหลาย.
สาธุชนผู้จะเจริญให้ปัญญานั้นเกิดมีขึ้น พึงประกอบการเรียน
อุเทศ และไต่ถามความ และทรงจำ และท่องสาธยาย และพิจารณา
ให้บริบูรณ์ขึ้น ณ สำนักแห่งอาจารย์ผู้ฉลาด ทิฏฐิความเห็นทั้งหลาย
อันไม่มีประโยชน์ เป็นไปด้วยถือผิดต่าง ๆ อย่างไร เป็นไปในโลก
สาธุชนพึงหยั่งด้วยปัญญาพิจารณา และละเว้นทิฏฐิเหล่านั้นเสียด้วย
ประการทั้งปวง พึงเจริญปัญญาอันมาในคำสอนของพระพุทธเจ้าให้
เกิดมีขึ้นในจิต ปัญญาซึ่งมาในพระพุทธศาสนานั้น คืออุทยัตถคามินี
ปัญญาอันไปยังความอุทัยและอัสดง พิจารณาความเกิดและความ
เสื่อมสิ้นแห่งสังขารเป็นอารมณ์ เป็นปัญญาอันพิเศษไปจากข้าศึก
คือกิเลสเครื่องเศร้าหมองจิตได้ อาจสามารถจะทำลายกิเลสที่ยังไม่เคย
ทำลายให้พินาศได้ จะให้ผู้เจริญบรรลุความสิ้นทุกข์ได้โดยชอบ นำผู้
ปฏิบัติออกไป เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบได้จริง เป็นปัญญาอันมั่นคง

ยากที่ข้าศึกจะนำเสียได้.
สาธุชนผู้มีความสะสมในทางปัญญาได้ทำแล้ว พึงบำเพ็ญให้
ปัญญานั้นเกิดในจิต ให้ไพบูลขึ้นตามอุบายที่ชอบ ที่จะให้เกิดอุท-
ยัตถคามินีปัญญานั้น ให้ผู้เจริญวิปัสสนาปัญญานั้น พึงรู้ฐานะทั้ง 6
ก่อน คือ อนิจจะ ของไม่เที่ยง 1 อนิจจลักขณะ เครื่องหมายที่จะ
ให้กำหนดรู้ว่าไม่เที่ยง 1 ทุกขะ ของสัตว์ทนยาก 1 ทุกขลักขณะ
เครื่องหมายที่จะให้กำหนดรู้ว่าเป็นทุกข์ 1 อนัตตา สิ่งสภาพไม่ใช่อาตม
ตัวตน 1 อนัตตลักขณะ เครื่องหมายที่จะกำหนดรู้ว่าเป็นอนัตตา1
ในฐานะทั้ง 6 นั้น สังขารที่ปัจจัยแต่งปัจจัยปรุง แตกต่างเป็น
อุปาทินนะและอนุปาทินนะ หรือเป็นนามรูป พุทธาทิบัณฑิตแจกโดย
ประเภทเป็นขันธ์ อายตนะ ธาตุ เป็นต้นนี้ เป็นของไม่เที่ยง เพราะ
เกิดขึ้นด้วย เสื่อมสิ้นไปด้วย แปรปรวนยกย้ายเป็นอย่างอื่น ๆ ไป
ด้วย. ความเกิดขึ้นและความเสื่อมสิ้น และความเข้าไปถึงความ
เป็นอย่างอื่น ๆ ไป เป็นอนิจจลักขณะ เครื่องหมายที่จะให้รู้ให้เห็น
ว่าไม่เที่ยง. สังขารนามรูปนั้นเป็นทุกข์ เพราะเป็นของอันความเกิด
ขึ้นและความเสื่อมสิ้นหากเบียดเบียนบีบคั้น. ข้อซึ่งความเกิดขึ้นและ
ความเสื่อมสิ้นมาเบียดเบียนบีบคั้นอยู่นั้นแล เป็นทุกขลักขณะ เครื่อง
หมายที่จะให้รู้ให้เห็นว่าเป็นทุกข์ สิ่งใดไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ สิ่งนั้น
เป็นของสูญจากความเป็นตน และความเป็นของ ๆ ตน ไม่เป็นไป
ในอำนาจ ไม่เป็นสัตว์เป็นบุคคลผู้ใด ไม่เป็นของ ๆ ผู้ใด สังขาร
นามรูปนั้นเป็นอนัตตา เพราะไม่เป็นไปในอำนาจ ความไม่เป็นไป

ในอำนาจ ความเป็นของสูญสักว่าเป็นสภาวธรรม ความเป็นสภาพ
ไม่มีเจ้าของ เป็นอนัตตลักขณะ เครื่องหมายที่จะให้รู้ให้เห็นว่าเป็น
อนัตตา. ให้สาธุชนผู้เจริญพระวิปัสสนาปัญญานั้น พึงรู้ฐานะ 6 อย่าง
ด้วยประการฉะนี้.
เมื่อรู้ฐานะทั้ง 6 ประการฉะนี้แจ้งชัดแล้ว พึงกำหนดสังขาร
โดยประเภท มีนามรูปเป็นต้น กำหนดกายกับทั้งจิตเจตสิกนี้โดย
กองทั้ง 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ส่วนมี ผม ขน
เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น อันฉิบหายเพราะปัจจัยเป็นข้าศึก มีเย็นร้อน
เป็นต้น เป็นกองรูป, ความเสวยอารมณ์ สุข ทุกข์ ไม่ทุกข์ไม่สุข
ส่วนนี้กองเวทนา, ความจำได้ จำไว้ จำรูป จำเสียง จำกลิ่น จำรส
จำสัมผัส จำธรรมารมณ์ก็ดี ส่วนนี้กองสัญญา, สัญเจตนา ความ
คิดอ่านต่อใจก็ด เจตสิกธรรมที่เกิดในจิตทั้งปวง ยกเสียแต่เวทนา
และสัญญาแล้ว เหลือนั้นเป็นกองสังขารธรรมที่ปรุงใจ, วิญญาณ
ในที่รู้อารมณ์ต่าง ๆ ที่เป็นไปในจักข์ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มนะ
ส่วนนี้กองวิญญาณ. เมื่อกำหนดเป็นขันธ์ 5 ประการฉะนี้แล้ว ย่น
ลงเป็น 2 คือ รูป 1 นาม 1 รูปขันธ์คงเป็นรูป แต่อรูปขันธ์ที่ 4
คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้นเป็นนาม. เมื่อกำหนด
ธรรมเป็นไปใน 3 ภูมิลงได้ โดยเป็นนาม 1 รูป 1 ฉะนี้ ก็ได้ความ
สันนิษฐานว่า สัตว์หรือบุคคล เทวดาหรือพรหมอื่น ยิ่งขึ้นไปกว่า
นามรูปนี้ไม่มี ส่วนที่ 2 คือ นาม 1 รูป 1 นี้อาศัยกันและกัน
ประหนึ่งมนุษย์เรืออาศัยกันและกันไป ณ สมุทรสาครฉะนั้น.