หัวใจสมถกัมมัฏฐาน
มีพระบรมพุทโธวาทประทานไว้ว่า " สมาธึ ภิกฺขเว ภาเวถ
สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ" ดังนี้ แปลความว่า ภิกษุทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายจงยังสมาธิให้เกิด ชนผู้มีจิตเป็นสมาธิแล้ว ย่อมรู้
ตามจริง.
เพราะเหตุอะไร พระศาสดาจึงทรงชักนำในอันบำเพ็ญสมาธิ.
เพราะในที่ได้รับอบรมดีแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์อันใหญ่. คน
เราจะทำจะพูดดีหรือเสียก็เพราะใจ ลำพังกายเหมือนรูปหุ่น ใจเหมือน
คนชัก รูปหุ่นจะกระดิกพลิกแพลงไปเท่าไร ก็ส่อใจของคนชัก ฉันใด
อาการกายและวาจาจะเป็นไปอย่างไร ก็ส่ออาการของใจ ฉันนั้น. อีก
อย่างหนึ่ง กายเหมือนเรือ ใจเหมือนนายเรือ ถ้านายเรือไม่ได้
รับความฝึกหัดชำนิชำนาญหรือประมาทไป ก็จะพาเอาเรือไปเป็น
อันตรายเสีย ต่อเป็นผู้ได้ศึกษาและมีสติ จึงจะสามารถพาไปถึงท่า
ฉันใด ใจก็ฉันนั้น ที่ชั่วและปล่อยให้และมีสติ จึงจะสามารถพาไปถึงท่า
ฉันใด ใจก็ฉันนั้น ที่ชั่วและปล่อยให้ละเลิง ก็จะชักจูงให้ประพฤติ
ชั่วทางกายทางวาจามีประการต่าง ๆ ล้วนแต่เป็นส่วนเสียหาย ถ้า
ได้รับอบรมในทางดี จึงจะชักจูงในทางดี. ท่านกล่าวว่า ใจที่ไม่ได้
อบรม อาจทำให้คนฉิบหายเสียได้ ยิ่งกว่าโจรหรือคนมีเวรจะทำให้
เสียอีก ใจที่ได้รับอบรม อาจำให้คนดี ยิ่งกว่ามารดาบิดาและญาติ
ผู้รักใคร่จะพึงทำให้ได้ เพราะเหตุนั้น พระศาสดาผู้ทรงพระกรุณาใหญ่
แสวงหาประโยชน์แก่ประชาชน จึงได้ทรงชัดนำในอันบำเพ็ญสมาธิ.
สมาธินั้นพึงรู้อย่างนี้ ใจนี้อบรมดีแล้ว ย่อมเห็นอรรถเห็นธรรม
แจ้งชัด ทำอะไรย่อมจะสำเร็จ. แต่ใจนี้ โดยปกติมีอารมณ์ไม่ดีเข้า
ขัดขวางไม่ให้แน่แน่วลงได้ ซึ่งเรียกว่านีวรณ์. นีวรณ์ท่านแจกเป็น 5
ความกำหนัดด้วยอำนาจกิเลสกาม เรียกกามฉันทะ 1 ความงุ่นง่าน
ด้วยกำลังโทสะ อย่างสูงถึงให้จองล้างจองผลาญผู้อื่น เรียกชื่อ
ตามอาการถึงที่สุดว่าพยาบาท 1 ความท้อแท้หรือคร้านและความง่วง
งุน รวมเรียกว่าถีนมิทธะ เพราะเป็นเหตุหดหู่แห่งจิตเหมือนกัน
นี้จัดเป็นนิวรณ์อีก 1 ความฟุ้งซ่านหรือคิดพล่านและความจืดจากเร็ว
รวมเรียกว่าอุทธัจจกุกกุจจะ เพราะเป็นเหตุกำเริบไม่อยู่ที่แห่งจิต
เหมือนกัน นี้จัดเป็นนีวรณ์อีก 1 ความลังเลไม่แน่ลงได้ เรียก
วิจิกิจฉา 1. สมัยใดนีวรณ์ 5 อย่างนี้ แต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ครอบงำ
จิต บุคคลย่อมไม่อาจคิดเห็นอรรถธรรม เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมไม่อาจ
ประกอบกิจให้สำเร็จประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน. การทำจิตให้ปลอด
จากนีวรณ์เหล่านี้ รักษาให้แน่แน่ว ชื่อว่าสมาธิ.
พระศาสดาประทานพระธรรมเทศนา เพื่อเป็นอุบายชำระจิตให้
ปลอดจากนีวรณ์มีประการต่าง ๆ พระโบราณาจารย์จัดรวบรวมเข้า
เป็นหมวด เรียกว่ากัมมัฏฐาน มีประเภทต่างกัน โดยสมเป็น
อุบายสำหรับชำระนีวรณ์ชนิดหนึ่ง ๆ. คิลานเภสัชเพ่งเฉพาะกิจคือ
แก้โรค ย่อมเป็นของมีคุณ แต่โรคมีต่าง ๆ ชนิด เภสัชก็จำมีต่าง ๆ
ขนาดให้ถูกกันฉันใด กัมมัฏฐานก็ฉันนั้น เพ่งเฉพาะกิจคือชำระจิต
จากนีวรณ์ ย่อมเป็นธรรมอันดี แต่นีวรณ์มีหลายอย่าง กัมมัฏฐาน
จึงต้องมีต่างประเภทให้เป็นคู่ปรับกัน.
อันผู้จะเจริญกัมมัฏฐาน ต้องรู้จักเลือกประเภทอันเป็นสบายของ
ตน. เหมือนคนใช้ยา ต้องรู้จักชนิดอันเป็นสบายแก่โรค ไม่ใช่ว่า
เป็นยาแล้วเป็นของสบายทุกขนาน บางอย่างอาจเป็นของแสลงแก่โรค
บางอย่าง เช่นยาร้อนเป็นของแสลงแก่โรคไข้ กัมมัฏฐานก็เหมือน
กัน ไม่ใช่เป็นธรรมสบายแก่ทุกคน ไม่ถูกเหมาะอาจให้โทษ เช่น
คนมีมิทธะคือง่วงงุนเป็นเจ้าเรือน กัมมัฏฐานที่ให้นึกหรือเพ่งเฉพาะ
อารมณ์อันเดียวย่อมจะชักให้ง่วงหนักเข้า.
บุคคลผู้มีกามฉันท์เป็นเจ้าเรือน มักรักสวยรักงาม ควรเจริญ
อสุภกัมมัฏฐานพิจารณาซากศพ หรือเจริญกายคตาสติพิจารณาร่างกาย
อันยังเป็นให้เห็นเป็นของน่าเกลียด. บุคคลผู้มีพยาบาทเป็นเจ้าเรือน
มักโกรธขึ้งเกลียดชัง ควรเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา 3 พรหมวิหาร
หัดจิตให้กลับคิดในทางให้เกิดรัก เกิดสงสาร เกิดยินดี. บุคคลมี
ถีนะก็ดี มีมิทธะก็ดี เป็นเจ้าเรือน มักย่อท้อในกิจการ ควรเจริญ
อนุสสติกัมมัฏฐาน พิจารณาความดีของตนบ้าง พิจารณาคุณของพระ
พุทธ พระธรรม พระสงฆ์บ้างเพื่อให้มีแก่ใจหวนอุตสาหะ เป็นอุบาย
แก้ถีนะ เพื่อใช้ความนึกกว้าง ๆ เป็นทางแก้มิทธะ. บุคคลผู้มีอุทธัจจะ
ก็ดี มีกุกกุจจะก็ดี เป็นเจ้าเรือน ควรเพ่งกสิณ เพื่อหัดผูกใจไว้ใน
อารมณ์อันเดียว หรือเจริญกัมมัฏฐานอันจะให้ใจเหี่ยวด้วยสังเวชเช่น
มรณัสสตินึกถึงความตาย. บุคคลผู้มีวิจิกิจฉาเป็นเจ้าเรือน ควรเจริญ
ธาตุกัมมัฏฐานหรือวิปัสสนากัมมัฏฐาน เพื่อกำหนดรู้สภาวธรรมที่เป็น
อยู่อย่างไร.
ในบุคคลผู้เดียว นีวรณ์เหล่านี้ อาจเข้าครอบงำในต่างขณะ. ใน
สมัยใด นีวรณ์ชนิดใดครอบงำ ในสมัยนั้น ควรเจริญกัมมัฏฐาน
อันเป็นเครื่องแก้นีวรณ์ชนิดนั้น พึงข่มจิตลงในสมัยที่เป็นไปพล่าน
พึ่งยกจิตขึ้นในสมัยที่หดหู่ พึงประคองจิตไว้ในสมัยที่เป็นไปสม่ำเสมอ
พึงทำจิตให้อาจให้ควรแก่การงาน.
อาการที่รู้จักทำจิตให้ปลอดจากนีวรณ์เป็นจิตอาจ เป็นจิตควร
แก่การงานในคราวต้องการ ดังนี้ ชื่อว่าสมาธิ แปลตามศัพท์ว่า
ตั้งจิตไว้มั่น.
สมาธินี้ เป็นกำลังสำคัญในอันจะให้คิดเห็นอรรถธรรมและเหตุ
ผลอันสุขุมลึกลับ พระศาสดาจึงตรัสไว้ในพระบาลีว่า "สมาหิโต
ยถาภูตํ ปชานาติ" ผู้มีใจตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามเป็นจริง ใจดวงเดียว
นึกพล่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ ย่อมคิดติดแลไม่เห็นทาง ต่อนึกดิ่งลงไป
ในอารมณ์เดียวเป็นสมาธิ จึงจะคิดเห็นปรุโปร่ง ดุจดังน้ำบ่าไป
หลายทาง จะให้กำลังพัดเครื่องจักรไม่ได้แรงเหมือนทำให้บ่าลงทาง
เดียวฉะนั้น. สมาธิก็คือรวมความคิดของใจให้ดิ่งลงไปในทางเดียว
จึงเป็นกำลังอันใหญ่ให้แทงตลอดอรรถธรรม และเหตุผลอันสุขุม.
สมาธินั้น ที่เป็นอย่างต่ำ ไม่แน่แน่วจริง ๆ ทำได้เป็นอย่างดี
ก็เป็นแต่เฉียด ใกล้ ๆ เรียก อุปจารสมาธิ ที่เป็นอย่างสูง เป็นสมาธิ
อย่างแน่นแฟ้น แน่แน่วลงไปจริง ๆ เรียก อัปปนาสมาธิ สมาธิ
อย่างต่ำ มีได้แก่สามัญชน ท่านจัดเป็นแต่กามาวจรธรรม คือเป็น
อารมณ์ของสัตว์ผู้หน่วงกามคุณ. สมาธิอย่างสูง คืออัปปนาสมาธิ
เฉพาะมีแก่บางคนที่เป็นผู้วิเศษ ท่านจัดว่ารูปาวจรธรรม คือเป็น
อารมณ์ของท่านผู้หน่วงรูปธรรม ยกเป็นคุณสูงขึ้นอีกชั้นหนึ่ง เรียก
ว่าฌานโดยมากกว่าอย่างอื่น แจกเป็น 4 ตามที่นิยมมากในพระ
พุทธศาสนา เรียกว่ารูปฌาน เพราะมีรูปธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเป็น
อารมณ์. ฌาน 4 นั้น เรียกชื่อตามลำดับปูรณสังขยาว่า ที่ 1 ที่ 2
ที่ 3 ที่ 4 หรือใช้ศัพท์เช่นนั้นในภาษามคธว่า ปฐมะ ทุติยะ ตติยะ
จตุตถะ ท่านกำหนดด้วยองค์สมบัติดังนี้ :-
1. ปฐมฌาน มีองค์ 5 คือ ยังมีตรึก ซึ่งรียกว่าวิตก และ
ยังมีตรอง ซึ่งเรียกว่าวิจาร เหมือนอารมณ์แห่งจิตของคนสามัญ
แต่ไม่ประกอบด้วยกิเลสกามและอกุศลธรรม ซ้ำมีปีติคือความอิ่มใจ
และสุขคืนความสบายใจเกิดแต่วิเวกคือความเงียบ กับประกอบด้วย
จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งลงไป ซึ่งเรียกว่าเอกัคคตา.
2. ทุติยฌาน มีองค์ 3 ลิวิตกวิจารเสียได้ คงอยู่แต่ปีติและ
สุขอันเกิดแต่สมาธิกับเอกัคคตา.
3. ตติยฌาน มีองค์ 2 คงอยู่แต่สุขกับเอกัคคตา.
4. จุตตถฌาน มีองค์ 2 เหมือนกัน ละสุขเสียได้ กลางเป็น
อุเบกขา คือเฉย ๆ กับเอกัคคตา.
ฌาน 4 นี้ จัดเป็นอุตตริมนุสสธรรมประเภทหนึ่งในพระพุทธ
ศาสนา. แต่ในเวลาทุกวันนี้ ธรรมอย่างสูงเช่นฌาน ก็เป็นคุณที่เกิน
ต้องการของคนทั้งหลาย หรือจะเรียกว่าผลที่เอื้อมไม่ถึง แม้เช่นนั้น
สมาธิอย่างต่ำ ก็ยังมีประโยชน์มากดังกล่าวแล้ว เป็นคุณที่ยังควร
ปรารถนา เหตุดังนั้น จักกล่าวกัมมัฏฐานบางอย่าง อันเป็นคู่ปรับแก่
นีวรณ์ 5 เพื่อเป็นอุบายอบรมสมาธินั้น.