นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส.
ขอนอบน้อม แด่พระผู้มีพระภาค อรหันต-
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น.
พระธรรมบท
ยมกวรรคที่ 1
1. เรื่องพระจักขุบาลเถระ
พระบรมศาสดา ทรงปรารภพระจักขุบาลเถระ เมื่อพระเถรเจ้า
ยังเป็นคฤหัสถ์ ได้ฟังธรรมเทศนาของพระศาสดา มีความเลื่อมใส
จึงมอบทรัพย์สมบัติให้แก่น้องชายแล้วออกบวช ครั้นมีพรรษาครบ 5
เป็นนิสัยมุตก์แล้ว จึงเข้าไปเฝ้าเรียนพระกรรมฐานในสำนักของพระ
ศาสดา แล้วทูลลาไปบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ ณ ประเทศแห่งหนึ่ง กับ
ภิกษุทั้งหลาย 60 รูป พระเถรเจ้าเป็นผู้มีความเพียรอันกล้า ตั้ง
สัจจาธิษฐานไม่นอนจนตลอดไตรมาส ในกาลนั้น โรคในตาได้
เกิดขึ้นแก่ท่าน หมอจึงขอให้ท่านนอนหยอดยา ท่านไม่ยอมนอน
โรคนั้นก็กำเริบขึ้น ตาทั้งสองของท่านก็แตกปะทุ พร้อมกันกับ
การได้สำเร็จพระอรหัตสุกขวิปัสสก ครั้นออกพรรษาแล้ว ได้มา
เฝ้าพระศาสดาที่วิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี ในเวลาราตรีวันหนึ่ง
พระเถรเจ้าได้เดินจงกรมเหยียบแมลงเม่าตาย โดยมิได้เห็นและไม่มี
เจตนาแกล้ง.
ครั้งนั้น มีพวกภิกษุอาคันตุกะมาเห็นแมลงเม่าตายอยู่ในที่
จงกรมของท่าน จึงพากันติเตียนต่าง ๆ พระศาสดาจึงทรงแสดงว่า
มรณเจตนาไม่มีในขีณาสพ พระภิกษุเหล่านั้น จึงทูลถามว่า พระ
ขีณาสพทำไมจึงเสียจักษุ พระองค์จึงทรงแสดงบุรพกรรม ในชาติ
หนึ่ง พระเถระเคยเป็นหมอยาตา รักษาจักษุสตรีผู้หนึ่งหายแล้ว แต่
สตรีนั้นแกล้งทำเป็นยังไม่หาย ด้วยความกลัวจะต้องเสียขวัญข้าว
หมอรู้ทันจึงแกล้งเอายากัดหยอดจักษุสตรีนั้นบอดทั้งสองข้าง ด้วย
กรรมนี้ตามมาให้ผลในชาตินี้ ในที่สุดอดีตนิทาน จึงได้ตรัสพระ
คาถานี้
มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา, ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า
มโนเสฏฐา มโนมยา, มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ
มนสา เจ ปทุฏฺเฐน, ถ้าบุคคล มีใจชั่วแล้ว
ภาสติ วา กโรติ วา, พูดอยู่ก็ตาม ทำอยู่ก็ตาม ( ก็ชั่ว )
ตโต นํ ทุกฺขมเนฺวติ, เพราะความชั่วนั้น ทุกข์ย่อมตาม
บุคคลผู้นั้นไป
จกฺกํ ว วหโต ปทํ. ดุจล้อตามรอยเท้าแห่งโค ผู้นำ
แอกไปอยู่ ฉะนั้น.
2. เรื่องมัฏฐกุณฑลี
พระบรมศาสดา ทรงปรารภมัฏฐกุณฑลี เป็นบุตรผู้เดียวของ
พราหมณ์ตระหนี่ผู้หนึ่ง พราหมณ์ผู้เป็นบิดา ได้กระทำกุณฑล
เกลี้ยง ๆ เองให้ประดับ ด้วยความกลัวจะต้องเสียค่าบำเหน็จ เวลา
บุตรเจ็บก็ไม่หาหมอรักษา ด้วยความกลัวจะต้องเสียค่าขวัญข้าว ครั้น
เวลาใกล้จะแตกดับ พระศาสดาได้เสด็จไป ทรงเปล่งพระโอภาสรัศมี
ให้มัฏฐกุณฑลีเห็น เธอก็เกิดปสาทะความเลื่อมใส กระทำกาล-
กิริยาลงในขณะนั้น ไปเกิดในดาวดึงสเทวโลก เห็นพราหมณ์ผู้บิดา
เศร้าโศกนัก จึงลงมากระทำพราหมณ์นั้น ให้คลายจากความ
เศร้าโศก ได้ความเลื่อมในในพระพุทธศาสนา แล้วกลับไปเทวโลก
ในวันรุ่งขึ้นพราหมณ์ได้เชิญเสด็จพระศาสดากับพระภิกษุสงฆ์ มา
กระทำภัตกิจที่เรือนตน แล้วทูลถามถึงการทำใจให้เลื่อมใสใน
พระองค์เท่านั้น ไม่ได้ทำกุศลอย่างอื่น ๆ อาจให้เกิดในสวรรค์ได้
หรือ ในขณะนั้น พระองค์จึงทรงอธิษฐานให้มัฏฐกุณฑลีเทวบุตร
มาแสดงเหตุผลให้ปรากฏเป็นพยานแก่ประชาชนในที่นั้น แล้วจึงตรัส
พระคาถานี้
มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา, ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า
มโนเสฏฺฐา มโนมยา, มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ
มนสา เจ ปสนฺเนน, ถ้าบุคคลมีใจผ่องในแล้ว
ภาสติ วา กโรติ วา, พูดอยู่ก็ตาม ทำอยู่ก็ตาม ( ก็
ผ่องใส )
ตโต นํ สุขมเนฺวติ, เพราะความผ่องใสนั้น สุขย่อม
ตามผู้นั้นไป
ฉายา ว อนุปายินี. ดุจเงาตามตนไป ฉะนั้น.
3. เรื่องพระติสสเถระ
พระบรมศาสดา ทรงปรารภพระติสสเถระ ผู้เป็นโอรสของพระ
ปิตุจฉาของพระองค์ผนวชเมื่อภายแก่ ไม่กระทำวัตตปฏิบัติแก่อาคันตุก-
ภิกษุผู้แก่กว่าตนตามวินัยนิยม พระศาสดาทรงปรับโทษให้ไปขอขมา
ภิกษุเหล่านั้น เธอดื้อไม่กระทำตามรับสั่ง จึงตรัสเล่าเรื่องพระติสส-
เถระดื้อให้ภิกษุทั้งหลายฟัง ตั้งแต่ครั้งเป็นดาบสชื่อเทวละ พระองค์
เป็นดาบสชื่อนารทะ วิวาทกัน จนพระเจ้าพาราณสีเสด็จไปให้พระ
เทวละขอโทษพระนารทะ พระเทวละไม่ยอมขอ เธอดื้อมาแต่ครั้งโน้น
แล้วจึงตรัสพระคาถานี้
อกฺโกจฺฉิ มํ อวธิ มํ, เขาได้ด่าเราแล้ว เขาได้ตีเราแล้ว
อชินิ มํ อหาสิ เม, เขาได้ผจญเราแล้ว เขาได้ลัก
ของ ๆ เราไปแล้ว
เย จ ตํ อุปนยฺหนฺติ, ก็ชนทั้งหลายเหล่าใด ย่อมเข้าไป
ผูกความโกรธนั้นไว้ดังนี้
เวรํ เตสํ น สมฺมติ; เวรของชนทั้งหลายเหล่านั้น ย่อม
ไม่ระงับได้.
อกฺโกจฺฉิ มํ อวธิ มึ, เขาได้ด่าเราแล้ว เขาได้ตีเราแล้ว
อชินิ มํ อหาสิ เม, เขาได้ผจญเราแล้ว เขาได้ลัก
ของ ๆ เราไปแล้ว
เย จ ตํ นูปนยฺหนฺติ, ก็ชนทั้งหลายเหล่าใด ย่อมไม่เข้า
ไปผูกความโกรธไว้ดังนี้
เวรํ เตสูปสมฺมติ. เวรของชนทั้งหลายเหล่านั้น ย่อม
ระงับไป.
4. เรื่องกาลียักขินี
พระบรมศาสดา ทรงปรารภหญิงหมันอยู่ด้วยสามีไม่มีบุตร นาง
กลัวสามีจะมีภรรยาน้อยเหนือตน จึงชิงจัดหาภรรยาน้อยให้สามีเสียเอง
ครั้นภรรยาน้อยมีครรภ์ นางได้ประกอบยาทำลายครรภ์ให้กินถึง 2
ครั้ง ในครั้งที่ 3 ภรรยาน้อยถึงกับทำกาลกิริยาทั้งครรภ์ เมื่อสามี
รู้เหตุนั้น จึงทุบตีหญิงหมันเสียด้วยศอกบ้างเข่าบ้างจนตาย ทั้งสองนาง
ก็ตั้งผูกเวรแก่กันดังนี้.
เมียน้อย นางแมว นางเนื้อ นางยักขินี
เมียหลวง นางไก่ นางเสือเหลือง นางกุลธิดา
ในชาติที่สุดนางยักขินี ได้กินลูกนางกุลธิดาถึงสองครั้ง ในครั้ง
ที่ 3 นางกุลธิดาได้พาลูกเที่ยวหนีเลยเข้าไปในวิหารเชตวัน กำลังพระ
ศาสดาเสด็จประทับทรงแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางบริษัท นางจึงมอบบุตร
ถวายพระศาสดา เวลานั้นพอนางยักขินีตามมาทัน พระองค์จึงได้ตรัส
พระคาถานี้
น หิ เวเรน เวรานิ ในกาลไหน ๆ มา เวรทั้งหลาย
สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ, ในโลกนี้ ย่อมไม่ระงับได้ด้วย
เวรเลย
อเวเรน จ สมฺมนฺติ, ก็แต่ว่า ย่อมระงับได้ด้วยความ
ไม่มีเวร
เอส ธมฺโม สนนฺตโน. ธรรมนี้เป็นของเก่า.
5. เรื่องโกสัมพิกภิกขุ
พระบรมศาสดา ทรงปรารภพวกภิกษุชาวเมืองโกสัมพี พระภิกษุ
พวกนี้ชั้นเดิมอาศัยเหตุปรับอาบัติโทษกันเล็กน้อย ภายหลังเกิดทะเลาะ
วิวาทกันลุกลามใหญ่โต ถึงกับพระศาสดาเสด็จไปทรงห้ามปรามเอง
ก็ไม่ฟัง พระองค์จึงได้เสด็จไปประทับจำพรรษาเสียในป่ารักขิตวันแต่
พระองค์เดียว ภายหลังภิกษุเหล่านั้นรู้สึกโทษตน จึงพร้อมกันส่ง
ข่าวสาส์นไปยังพระอานนท์ ให้ช่วยนำไปทูลขอขมาโทษเชิญเสด็จกลับ
พระองค์ก็ทรงรับ แล้วเสด็จมาสมานสามัคคี ด้วยธรรมมีกถาทีฆาวุชาดก
แล้วจึงตรัสพระคาถานี้
ปเร จ น วิชานนฺติ, ชนทั้งหลาย ฝ่ายพวกอื่นย่อมไม่รู้สึก
มยเมตฺถ ยมามฺหเส, ว่าเราทั้งหลายยุบยับในท่ามกลาง
สงฆ์นี้