เมนู

ธรรมวิจารณ์
ส่วนปรมัตถปฏิปทา
1. นิพพิทา ความหน่าย
อุทเทส
1. เอถ ปสฺสถิมํ โลกํ จิตฺตํ ราชรถูปมํ
ยตฺถ พลา วิสีทนฺติ นตฺถิ สงฺโค วิชานตํ.

สูทั้งหลายจงมาดูโลกนี้ อันตระการดุจราชรถ ที่พวกคนเขลา
หมกอยู่ แต่พวกผู้รู้หาข้องอยู่ไม่.
โลกวคฺค ธมฺมปท.1
2. เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนติ มารพนฺธนา.
ผู้ใดจักระวังจิต ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงแห่งมาร.
จิตฺตวคฺค ธมฺมปท.2
พรรณนาความ
คำว่า 'โลก' ในบาลีข้างต้น โดยตรงได้แก่แผ่นดินเป็นที่อาศัย
โดยอ้อมได้แก่หมู่สัตว์ผู้อาศัย. แผ่นดินที่อาศัยนั้น อันเป็นเองโดย
ธรรมดา ย่อมเป็นต่าง ๆ กัน บ้างเป็นพื้นดิน เป็นที่ราบก็มี เป็น
ที่ไม่เสมอมีภูเขาดาดาษไปก็มี เป็นที่ลุ่มมีบึงมีหนองประปรายไปก็มี

1. ขุ. ธ. 25/38. 2. ขุ. ธ. 25/20.

มีต้นไม้ขึ้นงอกงามเป็นป่าเป็นดงก็มี แห้งแล้งเหี้ยนเกรียนจน
หาต้นไม้มิได้เลยก็มี โดยที่สุดมีหิมะปกคลุมอยู่ก็มี เช่นนี้ย่อมเป็น
ตามอำนาจแห่งอุตุนิยม คือดินฟ้าอากาศ บ้างเป็นทะเลแคบกว้าง
เวิ้งว้างมีน้ำเค็มแผ่ไป แต่ละสิ่ง ๆ ย่อมเป็นของชวนดูก็มี พื้นดินมี
ดินสีต่าง ๆ มีหญ้าขึ้นเขียวชะอุ่ม มีไม้ต้นเล็ก ๆ ขึ้นเป็นหย่อม ๆ
เป็นป่าละเมาะ มีลำธรไหลผ่านไป มีแม่น้ำน้อยใหญ่วกไปมา เป็น
คุ้งเป็นแหลม มีหาดทรายสีต่าง ๆ บ้างมีเกาะในระหว่าง มีบึงมีหนอง
อันดอกไม้น้ำต่างพรรณ มีบัวต่างชนิดเป็นต้นดาดาษ ภูเขาเล่า ย่อม
เป็นต่างชนิดโดยสัณฐานโดยขนาดโดยประมาณ เป็นหินต่างชนิด
ต่างสีมีลายต่าง ๆ บ้างก็มีต้นไม้ขึ้นปกคลุมเขียวชะอุ่มร่มเย็น บ้าง
ก็มีธารน้ำใสสะอาดไหลในระหว่าง ถึงที่เป็นโกรกเป็นกระพัก ย่อม
ไหลเทลงมาเป็นน้ำตากน้ำโจน กระเซ็นเป็นฝอยเป็นละออง ที่ต้องแสง
แดดฉาย กลายเป็นสีต่าง ๆ อย่างรุ้งกินน้ำ บันลือเสียงสนั่น บ้างก็
มีถ้ำกว้างบ้าง แคบบ้าง มีทางลดเลี้ยวเป็นชั้นเดียวบ้าง เป็นหลาย
ชั้นบ้าง มีปล่องแสงสว่างส่องลงมาถึงบ้าง มืดบ้าง มีคราบน้ำหยัด
เป็นสัณฐานต่าง ๆ เป็นว้างน้ำก็มี เป็นพวกพู่ห้อยย้อยก็มี เป็นม่าน
สองไขก็มี เป็นดุจรูปตุ๊กตาก็มี เป็นอย่างอื่น ๆ อีกก็มี ต้นไม้เล่า
่ย่อมเป็นต่างประเภท ไม้ดอก ไม้ผล ไม้ต้น ไม้กอ ไม้เลื้อย ไม้
มีแก่น ไม้ไม่มีแก่น ไม้มีเนื้อแน่น ไม้มีโพรง ไม้มีใบต่างชนิด
ทะเลอยู่ในระหว่างแผ่นดิน ที่ลึกเป็นสีคราม บ้างก็มีเกาะใหญ่บ้าง
เล็กบ้าง ประปรายเป็นหย่อม ๆ ก็มี มีหาดทรายหาดกรวดสีต่าง ๆ

ที่เป็นหาดทรายมีหอยต่างพรรณอันคลื่นซัดขึ้นมาดาดาษ ที่เป็นทะเล
สาบ ย่อมงามด้วยเกาะและหาดดุจกัน แต่มีจำกัดให้แลเห็นสั้นเข้า
มา เหล่านี้เป็นของอันธรรมดาแต่งขึ้นไว้ แต่ลำพังก็เป็นที่บันเทิงใจ
อยู่แล้ว ได้อาศัยหมู่มนุษย์แต่งเพิ่มเติม ย่อมวิจิตรพิสดารยิ่งขึ้น
ตั้งกันอยู่เป็นบ้านเป็นเมืองเป็นประเทศ มีตึกเรือนโรงร้าน มีตลาด
ขายของต่าง ๆ ตัดถนนหนทางและขุดคลองเป็นที่ไปมา มีไร่นา
เรือกสวน มีสำนักงานที่ว่าการต่าง ๆ โรงงานที่ทำการต่าง ๆ โรง
ขายอาหาร โรงสุรา โรงมหรสพ โดยที่สุดโรงหญิงนครโสเภณี
สำนักที่พักคนผู้จรมา มีสโมสรนานาแห่งคณะชน เพื่อบำรุงการค้า
ขายก็มี เพื่อบำรุงศิลปวิทยาก็มี เพื่อบำรุงการเล่นก็มี เพื่อบำรุง
กิจการอย่างอื่นอีกก็มี มีโรงเรียนเป็นที่ศึกษาศิลปวิทยาต่างประเภท
มีวัดเป็นที่ศึกษาและปฏิบัติกิจพระศาสนา มีอย่างอื่น ๆ อีกเหลือที่จะ
พรรณนาให้ถี่ถ้วน ประมวลความว่า ปัญญาความคิดของหมู่มนุษย์
เจริญขึ้นเพียงใด การตกแต่งถิ่นฐานของเขาให้งดงาม เพื่อความสุข
สำราญและเพื่อความสะดวก ย่อมพิบูลขึ้นเพียงนั้น เป็นอันยุติการ
พรรณนาถึงโลกคือปฐพีที่อาศัยไว้เพียงนี้.
หมู่สัตว์ผู้อาศัยแผ่นดินนั้นเล่า ย่อมเป็นต่าง ๆ กัน จักพรรณนา
ถึงหมู่มนุษย์ก่อน เพียงประเภทเดียว ย่อมเป็นต่าง ๆ กัน โดย
สัญชาติ โดยภาษา โดยรูปพรรณสัณฐานภายนอก และโดยใจ
โดยอัธยาศัย โดยคุณสมบัติ โดยธรรมภายใน กรรมย่อมจำแนก
ให้เป็นต่าง ๆ กันออกไปอีก เป็นคนดีเป็นคนเลว เป็นคนชั้นสูง

คนชั้นต่ำ เป็นคนมั่งมีเป็นคนจน เป็นคนเจริญเป็นคนเสื่อม มี
เครื่องแต่งกายช่วยเพิ่มความงามแห่งรูปสมบัติ หรือช่วยดัดแปลง
ความไม่สวยให้ดีขึ้น มีขนบธรรมเนียมปรุงความงามแห่งกิริยาช่วย
ประกอบ ต่างพยายามเพื่อเลี้ยงชีวิตของตน ต่างขวนขวายในการ
งานที่เป็นอุปการะแก่กัน ต่างช่วยทำความสะดวกให้แก่กัน ทำสิ่ง
เกื้อกูลแก่ความเป็นอยู่ทั้งของกินของใช้ให้บริบูรณ์ยิ่งขึ้น ที่ขัดกันต่าง
คิดตัดรอนกัน ที่แย่งกัน ต่างคิดแข่งขันกัน ทำความบริบูรณ์
ให้เสื่อมให้ชะงัก เป็นอย่างนี้ ไม่เฉพาะบุคคลเท่านั้น เป็นทั้งหมู่ทั้ง
คณะตลอดถึงสัญชาติ ต่างต้องแสวงหาและสะสมกำลังและอำนาจไว้
สู้กันทานกัน หมู่มนุษย์เอง สามัคคีกันแล้ว เป็นผู้แต่งโลกให้งาม
ขึ้นให้บริบูรณ์ขึ้นกว่าที่เป็นมาโดยธรรมดา เป็นอริกันขึ้นแล้ว เป็น
ผู้ทำลายโลกให้ยับเยิน. ส่วนหมู่ดิรัจฉานเล่า มีประเภทต่าง ๆเป็น
อนันต์พ้นพรรณนา สรุปลงว่า เป็นจตุรบทคือสี่เท้าก็มี เป็นทวิบท
่คือสองเท้าก็มี เป็นพหุบทคือมีเท้ามากกว่านั้นก็คือ เป็นอบทคือหา
เท้ามิได้ก็มี เป็นสัตว์เกิดในครรภ์หรือดื่มน้ำนมก็มี เป็นสัตว์เกิดใน
ฟองต้องฟักจึงออกเป็นตัวก็มี เป็นสัตว์มีมังสะเป็นภักษาก็มี เป็น
สัตว์มีติณชาติเป็นภักษาก็มี ต่างชนิดต่างแย่งกันเป็นอยู่ ต่าง
เบียดเบียนกัน ต่างล้างผลาญกันลง มนุษย์กับดิรัจฉานต่างสังหาร
กันอีก แต่ดิรัจฉานไม่อาจผลาญมนุษย์ได้มากเท่าเขาทำมัน. หมู่สัตว์
ผู้อาศัยปฐพีนี้แล กล่าวโดยเฉพาะ คือหมู่มนุษย์ ย่อมเป็นผู้หวงห้าม
ถิ่นของตนและแย่งเอาถิ่นของฝ่ายอื่น ทำทั้งการแต่งการทำลายโลก

ที่อาศัย.
ในโลก คือชุมนุมมนุษย์ ทั้งถิ่นที่สำนัก สิ่งอันให้โทษโดยส่วน
เดียวเปรียบด้วยยาพิษก็มี สิ่งอันให้โทษในเมื่อเกินพอดีเปรียบด้วย
ของมึนเมาก็มี สิ่งอันเป็นอุปการะเปรียบด้วยอาหารและเภสัชอัน
สบายก็มี แต่ใช้ในทางผิดอาจให้โทษก็ได้. ชนผู้ไร้พิจารณ์ไม่หยั่ง
เห็นโดยถ่องแท้ ย่อมเพลิดเพลินในสิ่งอันให้โทษ ย่อมระเริงจน
เกินพอดีในสิ่งอันอาจให้โทษ ย่อมติดในสิ่งเป็นอุปการะ ชื่อว่าหมก
อยู่ในโลก ถอนตนไม่ออก เช่นนี้ย่อมได้เสวยทุกข์บ้าง สุขบ้าง
อันสิ่งนั้น ๆ พึงอำนวย แม้สุขก็เป็นเพียงสามิส คือ มีเหยื่อเจือด้วย
ของล่อใจ เป็นเหตุแห่งความติด ดุจเหยื่อ คือ มังสะอันเบ็ดเกี่ยวไว้
เป็นผู้อันจะพึงจูงไปได้ตามปรารถนา. ฝ่ายบัณฑิตพิจารณาเห็นความ
เป็นจริงแห่งสิ่งนั้น ๆ ว่าฉันไรแล้ว ไม่ข้องไม่พัวพ้นในสิ่งอันล่อใจ
อันใคร ๆ ไม่อาจยั่วให้ติดด้วยประการใดประการหนึ่ง ย่อมเป็นอิสระ
ด้วยตน เช่นนี้ย่อมได้สุขเป็นนิรามิส คือ หาเหยื่อมิได้ เป็นสุขสุขุม
เกิดภายใน.
สมเด็จพระบรมศาสดา ตรัสชวนพวกเราพุทธบริษัทให้มาดู
โลกอันตระการตา เปรียบด้วยราชรถครั้งโบราณ อันตกแต่งด้วย
จิตรกรรมและประดับด้วยอลังการอย่างงาม มิใช่เพื่อให้หลงชม ดุจ
ดูละครเห็นแก่สนุก เพื่อทรงปลุกใจพวกเราให้หยั่งเห็นซึ้งลงไปถึงคุณ
โทษประโยชน์มิใช่ประโยชน์แห่งสิ่งนั้น ๆ อันคุมเข้าเป็นโลก ดุจดู
ละครเพ่งคติชั่วที่แสดงไปตามเรื่อง ด้วยกำหนดรู้คติของคนเขลา

และคนฉลาด จะได้ไม่ตื่นเต้นไม่ติดในสิ่งนั้น ๆ.
ผู้ใดสำรวมจิตไว้อยู่ ไม่ปล่อยให้เพลิดเพลินละเลิงพัวพันใน
สิ่งอันล่อในเหล่านั้น ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงแห่งมาร. อาการสำรวม
จิตมี 3 ประการ คือ :-
1. สำรวมอินทรีย์มิให้ความยินดีครอบงำ ในเมื่อเห็นรูป ฟัง
เสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา.
2. มนสิการกัมมัฏฐานอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกามฉันทะ คือ อสุภ
และกายคตาสติ หรืออันยังจิตให้สลด คือมรณสติ.
3. เจริญวิปัสสนา คือ พิจารณาสังขารแยกออกเป็นขันธ์
สันนิษฐานเห็นเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา.
กิเลสกาม คือเจตสิกอันเศร้าหมอง ชักให้ใคร่ ให้รัก ให้อยากได้
กล่าวคือ ตัณหา ความทะยานอยาก ราคะ ความกำหนัด อรติ
ความขึ้งเคียด เป็นอาทิ จัดว่าเป็นมาร เพราะเป็นโทษล้างผลาญคุณ
ความดีและทำให้เสียคน. วัตถุกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส
โผฏฐัพพะ อันเป็นของน่าชอบใจ จัดว่าเป็นบ่วงแห่งมาร เพราะ
เป็นอารมณ์เครื่องผูกใจให้ติดแห่งมาร. บ่วงแห่งมารนี้ ที่ผู้นั้นติดมาแล้ว
เขาจักเปลื้องหลุดไป จักไม่อาจคล้องเขาให้ติดอีก.