ศาสนพิธี
เล่ม 2
บทนิเทศ
ความรู้เรื่องศาสนพิธีย่อมมีกว้างขวางลึกซึ้งประณีตขึ้นเป็นชั้น ๆ ยิ่งรู้กว้าง
และประณีตเพียงไร ก็ย่อมเป็นประโยชน์อันไพศาลแก่การพระศาสนาเพียงนั้น เพราะ
พิธีแต่ละอย่างที่เกิดเป็นความนิยมในพระศาสนานี้ ย่อมเกิดมีโดยเหตุผล และมี
จุดหมายทั้งในบั้นต้นและในบั้นปลายทุกพิธีไม่ใช่เกิดมีนิยมกันขึ้นลอยๆ โดยไร้
เหตุผล ถ้านักศึกษาไม่ศึกษาให้รู้เหตุผลต้นปลาย และจุดมุ่งหมายลึกซึ้งแล้ว อาจจะ
ไม่เข้าใจเรื่องของพิธีบางประการก็ได้และอาจเห็นเป็นความรุ่มร่ามไร้สาระไปเลย
หรือไม่ก็อาจงมงายในการปฏิบัติผิดเพี้ยนจนเกินกว่าเหตุได้ ทั้งนี้เพราะกาลเวลาที่เกิด
พิธีนิยมบางอย่างนั้นล่วงเลยมานาน ฉะนั้น จึงจำต้องศึกษาให้ละเอียดเป็นชั้น ๆ
สูงขึ้นโดยลำดับ จะได้เป็นประโยชน์แก่การพระศาสนาอย่างแท้จริง
ในศาสนพิธี เล่ม 1 ได้แสดงพิธี 4 หมวด คือ
(1) หมวดกุศลพิธี ว่าด้วยพิธีบำเพ็ญกุศล
(2) หมวดบุญพิธี ว่าด้วยพิธีทำบุญ
(3) หมวดทานพิธี ว่าด้วยพิธีถวายทาน และ
(4) หมวดปกิณกะ ว่าด้วยพิธีเบ็ดเตล็ด
กล่าวเฉพาะสามัญอันเป็นพิธีที่พุทธบริษัทควรศึกษาในเบื้องต้น บางหมวดยังมิได้
แสดงเหตุผลและจุดมุ่งหมาย บางหมวดแม้ให้ศึกษาละเอียดแล้วก็เป็นเพียงพิธีบาง
เรื่องยังมีพิธีอื่นที่ควรรู้เพิ่มเติมอีกมาก และพิธีบางหมวดเกี่ยวข้องกับพระวินัย
บัญญัติถึงเป็นพิธีสามัญควรรู้ก่อน แต่พระวินัยที่เกี่ยวกับพิธีนั้น ท่านจัดไว้เป็นความรู้
ของนักศึกษาธรรมชั้นสูงจึงจำเป็นต้องระงับไว้ก่อน เพื่อแสดงในเล่มสำหรับชั้นสูง
ต่อไป ฉะนั้น จึงอนุมานได้ในที่นี่ว่า เรื่องของศาสนพิธีบางเรื่องยังไม่จบลงในเล่มเดียว
อาจต้องกล่าวเหตุผลหรือรายละเอียดในเล่มอื่นๆ อีกตามพื้นความรู้ของนักศึกษาธรรม
ชั้นนั้นๆ และบางเรื่องแม้จะกล่าวในเล่มต้น ก็จำเป็นต้องระงับไว้กล่าวในเล่มหลัง
เพื่อให้นักศึกษาศึกษาตามพื้นของนักศึกษาธรรมเช่นกัน
ในเล่มที่ 2 นี้ สำหรับภูมินักศึกษาธรรมชั้นโทศึกษาโดยเฉพาะแสดง
เรื่องของศาสนพิธีเป็น 4 หมวด อย่างเล่มแรกแต่จะแยกเรื่องของแต่ละหมวด
ให้เหมาะสมแก่ภูมินักศึกษาธรรมชั้นโทขอให้นักศึกษากำหนดพิจารณาให้ติดต่อกันไป
และเพื่อความเข้าใจแจ่มแจ้งในบางเรื่อง ควรมีหนังสือศาสนพิธีเล่ม 1 เป็นอุเทศ
กำกับด้วย.
หมวดที่ 1 กุศลพิธี (2)
กุศลพิธีคืออะไร ไม่จำเป็นต้องชี้แจงให้ซ้ำความอีก แต่กุศลพิธีที่จะกล่าว
ในหมวดนี้ จัดสำหรับภูมินักศึกษาธรรมชั้นโทโดยเฉพาะ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพิธีของสงฆ์
เป็นพิธีกรรมที่สงฆ์พึงปฏิบัติเพื่อความดีงามในพระวินัย ทั้งส่วนตัวผู้ปฏิบัติและ
หมู่คณะ บางอย่างเป็นจารีตนิยมปฏิบัติสืบ ๆ กันมา ถือเป็นความชอบในคณะสงฆ์
แล้วจึงกลายเป็นพิธีประเพณีของสงฆ์หรือพิธีประเพณีของหมู่คณะ จะนำมาชี้แจ้ง
ในที่นี้ 7 เรื่องคือ
ก. พิธีเข้าพรรษา
ข. พิธีถือนิสสัย
ค. พิธีทำสามีจิกรรม
ฆ. พิธีกรรมวันธรรมสวนะ
ง. พิธีทำสังฆอุโบสถ
ฉ. พิธีออกพรรษา
แต่ละเรื่องล้วนมีความสำคัญแก่ชีวิตพระสงฆ์ทั้งนั้น ซึ่งจะได้ชี้แจ้งราย
ละเอียดโดยลำดับไป
พิธีเข้าพรรษา
การเข้าพรรษา คือ การที่ภิกษุผูกใจว่าจะอยู่ประจำเสนาสนะวัดใดวันหนึ่ง
ตลอดเวลา 3 เดือนในฤดูฝนไม่ไปค้างแรมให้ล่วงราตรีในที่แห่งอื่นระหว่างที่ผูกใจ
นั้นเป็นพิธีกรรมสำหรับภิกษุโดยตรง ซึ่งมีวินัยนิยมบรมพุทธานุญาติไว้ให้ปฏิบัติทุกรูป
จะเว้นเสียมิได้ไม่ว่าในกรณีใด ๆ มีเรื่องราวปรากฏอยู่ในวัสสูปนายิกขันธกะ พระวินัยปิฎก
ใจความย่อ ๆ ว่า สมัยเมื่อผ่านปฐมโพธิกาลไปแล้ว มีกุลบุตรเข้ามาบวชเป็นภิกษุมาก
ขึ้น พระพุทธเจ้ายังมิได้ทรงบัญญัติให้ภิกษุจำพรรษา ถึงฤดูฝนมีน้ำขังเต็มพื้นที่ไร่นา
ทั่วไป ชาวบ้านอาศัยพื้นที่เหล่านั้นประกอบอาชีพทางกสิกรรม พวกพ่อค้าเป็นต้น
ที่มิใช่ชาวกสิกรต่างพักผ่อนหยุดสัญจรกันในฤดูนี้เพราะนอกจากไม่สะดวกแล้วยัง
เป็นอันตรายแก่พืชผลของชาวไร่นาแต่ภิกษุในสมัยนั้นบางจำพวกหาพักการจาริก
ไม่ บ้างพากันย่ำเหยียบหญ้าระบัดและสัตว์เล็กเป็นอันตราย ชาวบ้านพากันติเตียน
พระพุทธองค์ทราบจึงทรงบัญญัติให้ภิกษุจำพรรษาในฤดูฝนตลอด 3 เดือน
นับแต่วันแรมค่ำหนึ่ง เดือน 8 ไปจนถึงวันเพ็ญเดือน 11 เหลือเวลา 1 เดือน
ท้ายฤดูฝนคือแรมค่ำหนึ่ง เดือน 11 ถึงเพ็ญเดือน 12 ซึ่งเป็นเวลาน้ำลดและพืชผล
เริ่มสุกแล้วไว้เป็นจีวรกาล คือ เวลาแสวงหาจีวรผลัดเปลี่ยนของภิกษุ ต่อมาทรงบัญญัติ
ซ้ำเติมในเรื่องการจำพรรษาอีก ให้ภิกษุทุกรูปถือเสนาสนะ จะไปถ้ำ คูหา หรือกุฏิ
อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ที่มีที่มุงที่บังแดดฝนครบถ้วน ห้ามจำพรรษาในที่กลางแจ้ง
ในโพรงไม้ ในหลุมที่ขุด หรือในกุฎีดิน ซึ่งมีลักษณะเหมือนตุ่ม อาจะเป็นอันตราย
พังลงมาทับเพราะน้ำฝนได้ โดยพระพุทธบัญญัติดังกล่าวนี้ จึงถือเป็นธรรมเนียม
ในหมู่ภิกษุที่ต้องเข้าพรรษา และมีกำหนดพิธีปฏิบัติสืบ ๆ กันมา โดยหลักดังต่อไปนี้
ระเบียบพิธี
1. ถึงวันเข้าพรรษา คือ วันแรมค่ำหนึ่ง เดือน 8 ถ้าเป็นปีมีอธิกมาส
ตกวันแรมค่ำหนึ่ง เดือน 8 หลัง ภิกษุสามเณรทั้งหมดภายในวัดเตรียม ดอกไม้ ธูป
เทียนใส่พานหรือภาชนะที่สมควร เพื่อใช้สักการะปูชนียวัตถุต่าง ๆ ในวัด และใช้ทำ
สามีจิกรรมกันตามธรรมเนียมให้พร้อมก่อนกำหนดเวลา การประกอบพิธีต้องประชุม
พร้อมกันในอุโบสถ ควรกำหนดในตอนเย็นก่อนค่ำ เพื่อความสะดวกแก่สถานที่
ในวันนี้หรือก่อนวันนี้หนึ่งวันหรือสองวันมักมีธรรมเนียมสำหรับทายก
ทายิกานำสักการะมาถวายภิกษุสามเณรที่ตนเคารพนับถือ สักการะนั้นนิยมมีดอกไม้
ธูป เทียน ผ้าอาบน้ำฝน และเครื่องสุขภัณฑ์ เช่น สบู่ แปลงสีฟัน ยาสีฟัน กระดาษชำระ
เป็นต้น จัดเป็นสักการะถวายเฉพาะรูป นอกจากนี้นิยมหล่อเทียนขนาดใหญ่ กะให้
จุดอยู่ได้ทั้งวันทั้งคืน ตลอด 3 เดือน ถวายสงฆ์เพื่อจุดเป็นพุทธบูชาในโรงอุโบสถ
เริ่มแต่วันเข้าพรรษาด้วยบางแห่งบางวัดร่วมกันหล่อเทียนนี้เป็นงานใหญ่โตก่อนวัน
เข้าพรรษาตั้ง 7 วันก็มี จะอย่างไรก็ตามถ้าวันนั้นมีทายกศรัทธานำดอกไม้ธูปเทียน
มาถวายรายรูปทั่วกันทุกรูปตามจำนวน ควรให้ภิกษุสามเณรลงรับพร้อมกันที่ลาน
พระอุโบสถ หรือที่อื่นใด สุดแต่ความเหมาะสม หรือจะจัดส่งไปถวายเป็นรูป ๆ ก็ได
้แล้วแต่สะดวก
2. ถึงกำหนดเวลาตีระฆังสัญญาณ ให้ภิกษุสามเณรลงพร้อมกันใน
โรงอุโบสถจัดให้นั่งตามลำดังอาวุโส แก่อ่อน ไม่ใช่นั่งตามศักดิ์เรียกแถวจากขวามือ
ไปซ้ายมือ หันหน้าเข้าหาพระพุทธรูประธาน เป็นแถว ๆ ไปจนครบให้ภิกษุอยู่ใน
กลุ่มภิกษุ สามเณรอยู่ในกลุ่มสามเณรข้างหลัง แยกกลุ่มออกให้พ้นหัตถบาสของ
กลุ่มภิกษุ
ลำดับต่อไปนี้ มีกรณียะที่จะพึงปฏิบัติ คือ
ก) ทำวัตรเย็น
ข) แสดงพระธรรมเทศนา เรื่องสัสสูปนายิกากถา หรืออ่านประกาศเรื่อง
วัสสูปนายิกา
ค) ทำสามีกิจกรรม คือ ขอขมาโทษต่อกัน
ง) เจริญพระพุทธมนต์
จ) สักการะบูชาปูชนียวัตถุสถานภายในวัด
สำหรับวัดใหญ่มีเสนาสนะมากภิกษุสามเณรอยู่รวมกันจำพรรษาจำนวน
นับร้อยถ้าเจ้าอาวาสมิได้เป็นผู้จัดให้ภิกษุสามเณรถือเสนาสนะอยู่ประจำด้วยตนเอง
ตั้งแต่ก่อนวันเข้าพรรษา โดยมอบหมายให้ภิกษุผู้ช่วยจัดการมาก่อน จำเป็นจะต้อง
ตั้งผู้ช่วยจัดนั้นให้เป็นเจ้าอธิการเสนาสนะคาหาปกะตามธรรมเนียมพระวินัย และ
ควรประกาศตั้งด้วยญัตติกรรมในพิธีเข้าพรรษานี้ ประกาศในลำดับเมื่อเทศน์เรื่อง
วัสสูปนายิกากถา หรือประกาศเรื่องวัสสูปนายิกาจบ ก่อนภิกษุสามเณรอาคันตุกะ
ถือนิสัย หรือก่อนทำสามีจิกรรมแล้วแต่กรณี ถ้าตั้งผู้ช่วยเป็นเจ้าอธิการเสนาสนคาหาปกะ
ดังกล่าวแล้ว หลังจากเสร็จพิธีภายในพระอุโบสถคือ เมื่อเจริญพระพุทธมนต์จบแล้ว
ก่อนออกจากพระอุโบสถไป เจ้าอธิการเสนาสนคาหาปกะควรมอบหมายให้ภิกษุสามเณร
ทุกรูป รับถือเสนาสนะตามพระวินัยด้วยวาจาอีกครั้งหนึ่ง หรือจะทำพิธีมอบให้ด้วย
น้ำหยดลงในฝ่ามือของภิกษุสามเณรทีละรูปๆ เรียงตัวไปเป็นสัญญัติว่าได้มอบหมายก็ได้