เมนู

ตัวอย่างที่ 1

เรียงความแก้กระทู้ธรรม น.ธ. เอก1
สอบในสนามหลวง
วันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 24732

1. สทฺธา ทุติยา ปุริสสฺส โหติ
ศรัทธาเป็นเพื่อนสองของคน ฯ
2. ปญฺญา เจนํ ปสาสติ
ปัญญาย่อมปกครองเขา ฯ
3. นิพฺพานาภิรโต มจฺโจ สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ
ผู้ยินดีต่อพระนิพพาน ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ฯ
พรรณนาเนื้อความแห่งกระทู้พุทธภาษิตทั้ง 3 นี้ว่า คนเราที่
เอากำเนิดเกิดมาในมนุษยโลกนี้ ต่างย่อมหวังความสุขความเจริญ
แก่ตนสิ้น แต่ความสุขความเจริญเหล่านั้นต่างมีเหตุประจำ ผู้หวัง
ความสุขความเจริญ ต้องผจญต่อเหตุของสิ่งเหล่านั้นก่อน ผลคือ
ความสุขและความเจริญจึงจะเกิดมีได้ ฉะนั้น ในทางพระพุทธศาสนา
จึงได้สอนให้คนมีความเพียรมั่น ดังมีแจ้งในพระบรมพุทโธวาท

1. ถ้าเป็นธรรมศึกษาชั้นเอก ก็ใช้ว่า ธ.ศ. เอก น.ธ. เอก ฯ
2. พึงถือแบบฟอร์มนี้เป็นหลัก ตัวอย่างต่อไปจักไม่แสดงแบบฟอร์มไว้ ฯ

หลายแห่ง ถึงอย่างนั้น ก็ต้องอาศัยคนอื่นเป็นแม่แรงช่วยสนับสนุน
เพราะเหตุการณ์เหล่านั้นทั้งหมด เว้นพระสมัยภูสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
ไม่มีผู้ใดจะรู้ทั่วถึงทุกอย่างได้ ถึงจะมีบ้างก็เป็นแต่เพียงรู้ผิว ๆ
ไม่ถึงแก่น แม้พระสารีบุตรเถระปรากฏว่า ท่านเป็นผู้เฉียบแหลมใน
ทางปัญญา ถึงอย่างนั้น ก็รู้เองเห็นเองไม่ได้ ต้องอาศัยพระอัสสชิ
เป็นบุรพภาคและพระศาสดาเป็นปริโยสาน เหตุนั้น พระศาสดาจึงได้
ทรงแสดงธรรมเพื่อปลูกศรัทธาไว้เป็นอเนกประการ ทั้งนี้ก็เพราะ
ศรัทธาเป็นคุณสมบัติ เป็นหลักของใจที่จะให้บุคคลประกอบการงานไม่
ท้อถอย เพราะเมื่อมีศรัทธาเป็นหลักของใจแล้ว ย่อมทำใจของบุคคล
เหล่านั้นไม่ให้ว้าเหว่ในเวลาประกอบกิจ ไม่ผิดกับบุคคลผู้มีเพื่อนเป็น
ึูคู่สอง แม้จะเป็นเพื่อนร่วมการงานในเวลาประกอบกิจก็ตาม เป็นเพื่อน
ร่วมทางในเวลาเดินทางก็ตาม ย่อมเป็นเหตุให้บุคคลผู้นั้นมั่นใจใน
การงาน ไม่หวาดเสียวในหนทางที่เปลี่ยวประกอบด้วยภัยอันตรายต่าง ๆ
ฉะนั้น ท่านจึงแสดงอานิสงส์ศรัทธาว่า เป็นเพื่อนสองของคน ดัง
พระพุทธนิพนภาษิตประการต้นว่า
สทฺธา ทุติยา ปุริสสฺส โหติ
แปลว่า ศรัทธาเป็นเพื่อนสองของคน ดังนี้ ฯ
จริงอย่างนั้น เพราะคำว่าศรัทธาในที่นี้ โดยอรรถ ได้แก่
ความเชื่อ มีวิภาคเป็น 2 คือ ความเชื่อที่ประกอบด้วยญาณ เรียก
ว่า ญาณสัมปยุต ประการหนึ่ง ฯ ความเชื่อที่ประกอบด้วยญาณ
เรียกว่า ญาณวิปปยุต ประการหนึ่ง ฯ ศรัทธาทั้ง 2 โดยสังเขปนี้

ศรัทธาที่เป็นญาณวิปปยุต ย่อมไม่ให้สำเร็จประโยชน์แก่ผู้บำเพ็ญโดย
ส่วนเดียว อาจให้โทษแก่ผู้บำเพ็ญซึ่งเชื่อในทางผิด ๆ ก็ได้ ฉะนั้น
ศรัทธานั้น ท่านจึงไม่ประสงค์ในกระทู้นี้ ฯ ศรัทธาที่เป็นญาณ-
สัมปยุต ท่านประสงค์เอาในกระทู้นี้ ซึ่งมีวิภาคออกไปเป็น 4 ประการ
คือ :-
กัมมสัทธา เชื่อกรรมอย่างหนึ่ง ฯ
วิปากสัทธา เชื่อผลของกรรมอย่างหนึ่ง ฯ
กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตัวอย่างหนึ่ง ฯ
ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคตเจ้า
อย่างหนึ่ง ฯ
ศรัทธาทั้ง 4 ประการนี้ กัมมสัทธาเป็นเหตุให้บุคคลหมั่นประกอบ
การงานไม่นั่งนิ่ง วิปากสัทธาเป็นเหตุให้ประกอบแต่กรรมที่เป็นสุจริต
กัมมัสสกตาสัทธา เป็นเหตุให้บุคคลเลิกละกรรมที่เป็นทุจริต ประกอบ
แต่กรรมที่เป็นสุจริต ตถาคตโพธิสัทธาเป็นเหตุให้บุคคลเสวนะธีรชน
งดเว้นไม่สมาคมอสัปบุรุษ สรูปความว่า ศรัทธาที่เป็นญาณสัมปยุต
อันบุคคลใดให้ตั้งมั่นแล้ว ในกรรม วิบาก กัมมัสสกตา ตถาคตโพธิ
ย่อมให้สำเร็จประโยชน์คุณทุกสิ่งทุกประการ สมด้วยพระพุทธภาษิต
บรรหารรับสมอ้างข้อนี้ว่า
สทฺธา สาธุ ปติฏฺฐิตา
แปลว่า ศรัทธาตั้งมั่นแล้ว ยังประโยชน์ให้สำเร็จ ฯ
ฉะนั้น ศรัทธาท่านจึงเปรียบเหมือนทรัพย์เครื่องปลื้มใจของบุรุษ

สามารถยังสรรพวัตถุ ที่ประสงค์ให้สำเร็จ แก่บุรุษผู้มีความประสงค์สิ่ง
นั้นได้ อธิบายว่า ทรัพย์ย่อมสามารถอำนวยวัตถุที่ต้องการให้สำเร็จได้
ฉันใด ศรัทธาก็สามารถอำนวยคุณธรรมที่ตนหวังให้สำเร็จได้ฉันนั้น
โดยอธิบายนี้ ได้ความว่า ศรัทธาเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจของบุรุษใน
โลกนี้ ได้กับพระบาลีพุทธภาษิตว่า
สทฺธีธ วตฺตํ ปุริสสฺส เสฏฺฐํ
แปลว่า ศรัทธาเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจของบุรุษในโลกนี้ ฯ
ธรรมดาทรัพย์ ย่อมให้สำเร็จประโยชน์แก่คมิกบุรุษผู้เตรียมจะ
ไปสู่ทางไกล ด้วยอาศัยจับจ่ายซื้อเสบียงเครื่องเดินทางต่าง ๆ ฉันใด
ศรัทธาก็สามารถรวมไว้ได้ซึ่งเสบียงคือกุศล แก่นรชนผู้จะไปสู่
ปรโลกฉันนั้นเหมือนกัน สมด้วยวจนประพันธ์พุทธภาษิตว่า
สทฺธา พนฺธติ ปาเถยฺยํ
แปลว่า ศรัทธาย่อมรวบรวมไว้ได้ซึ่งเสบียงคือกุศล ดังนี้ ฯ
ใช้แต่เท่านั้น ผู้หวังจะข้ามโอฆสงสาร เพราะเบื่อหน่ายใน
ความเวียนเกิดเวียนตาย ก็จำต้องอาศัยศรัทธาเป็นพาหนะขับขี่ข้าม
เหมือนผู้จะข้ามห้วงมหาสมุทรสาคร อันกว้างและลึก ประกอบด้วยภัย
ก็ต้องอาศัยนาวาขับขี่พาไป มิฉะนั้น จะข้ามไม่ได้เลยเป็นอันขาด พระ
บรมศาสดาจึงได้ตรัสว่า
สทฺธาย ตรติ โอฆํ
แปลว่า นรชนย่อมข้ามโอฆะได้ด้วยศรัทธา ดังนี้ ฯ
โดยอธิบายนี้ จึงเป็นได้ว่า ศรัทธาย่อมอำนวยประโยชน์
























































ให้แก่บุรุษ ทั้งอย่างต่ำ อย่างกลาง อย่างสูง ประหนึ่งว่าเพื่อน
คอยตักเตือนชี้ทางให้ฉะนั้น อันธรรมดาว่าเพื่อนที่ไว้ใจ ย่อมเป็น
ประหนึ่งว่าบิดามารดาที่คอยประคองบุตรธิดาที่เกิดกับอก เพราะอาศัย
เมตตากรุณาในบุตรธิดานั้น ฯ บุรุษผู้เดินทางอันเปลี่ยนมีภัยเฉพาะ
หน้าก็ดี ผู้ประกอบกิจที่เกิดขึ้นก็ดี เมื่อมีเพื่อนร่วมทางหรือร่วม
การงาน ย่อมทำให้ผู้นั้นไม่หวาดเสียวในทางและเชื่อมั่นในความสำเร็จ
ผู้มีศรัทธา จะประกอบการงานก็ดี จะบำเพ็ญกุศลก็ดี จะปฏิบัติ
เพื่อบรรลุโลกุตรคุณก็ดี ย่อมสำเร็จลุถึงสิ่งที่ต้องประสงค์ได้ทุกประการ
ฉะนั้น ฯ ถึงอย่างนั้น ศรัทธาก็ต้องอาศัยปัญญาช่วยสนับสนุน ท่าน
จึงจัดศรัทธาประเภทนี้ว่า สัทธาญาณสัมปยุต คือศรัทธากับปัญญา
ต้องเป็นคู่กัน ผู้มีศรัทธาแต่หาปัญญามิได้ ก็เท่ากับบุรุษผู้เสียจักษุ
ถึงอวัยวะอย่างอื่นจะมีบริบูรณ์ ก็ให้สำเร็จประโยชน์ที่หวังไม่ได้เต็มที่
บางทีอาจกลับให้โทษตรงกันข้ามก็มี โดยนัยนี้ ผู้มีศรัทธาต้อง
ขวนขวายอบรมปัญญาให้แก่กล้า เพราะปัญญา เมื่อมีในบุคคลใด
บุคคลนั้นก็เท่ากับมีจักษุดี สามารถแลเห็นสรรพสิ่งต่าง ๆ ได้ฉะนั้น
ผู้มีจักษุย่อมระวังภัยได้รอบข้างฉันใด ผู้มีปัญญาก็สามารถรักษาตนให้
พ้นภัยพิบัติได้ฉันนั้นเหมือนกัน ท่านจึงว่า ปัญญาย่อมปกครองเขา
ดังนี้ สมด้วยพระบาลีกระทู้ที่ 2 ว่า
ปญฺญา เจนํ ปสาสติ
แปลว่า ปัญญาย่อมปกครองเขา ดังนี้ ฯ
อธิบายว่า ปัญญาได้แก่ความรอบรู้ วิภาคเป็น 2 คือ โลกิย-

ปัญญา ได้แก่ปัยยาของคนสามัญประการหนึ่ง โลกุตรปัญญา ได้แก่
ปัญญาของพระอริยเจ้าประการหนึ่ง ฯ ประการต้น ได้แก่ ปัญญา
รู้ศิลปวิทยาต่าง ๆ ที่เป็นไปตามวิสัยของโลก มีความรู้ที่เกี่ยวแก่การ
อาชีพเป็นต้น ฯ ประการที่ 2 ได้แก่ ปัญญาที่สัมปยุตด้วย มรรค
ผล นิพพาน ฯ อันปัญญาทั้ง 2 ประการนี้ ย่อมให้สำเร็จประโยชน์
ตามฐานะ เพราะปัญญาเป็นสิ่งควรเปรียบด้วยแก้วสารพัดนึก ผู้มีแก้ว
ชนิดนั้นอยู่ เมื่อความต้องการด้วยสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นนึกน้อมเอาสิ่งนั้น
ก็ย่อมได้สมหวังทุกเมื่อ อันปัญญานี้ ก็ให้สำเร็จสิ่งที่ประสงค์ได้ทุกเมื่อ
ฉันนั้นเหมือนกัน พระบรมศาสดาจารย์ได้ตรัสสรรเสริญว่าเป็นรัตนะ
ของนรชน ดังพระพุทธนิพนธ์ว่า
ปญฺญา นรานํ รตนํ
แปลว่า ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน ดังนี้ ฯ
อันคุณคือปัญญานี้ ย่อมสามารถสอดส่องเหตุการณ์ หรือ
สรรพสิ่งต่าง ๆ ทั้งในที่ลับและที่เปิดเผยได้ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด พระ
อาทิตย์พระจันทร์ทั้ง 2 นี้ อันชาวโลกต่างยกย่องว่ามีคุณมหึมา สามารถ
กำจัดมืดให้สว่างได้ทั่วโลก ถึงอย่างนั้น ก็กำจัดได้เฉพาะในสถานที่
เปิดเผย ไม่มีวัตถุอะไรกำบัง ไม่สามารถกำจัดมืดในที่มีวัตถุปิดบัง
ได้แม้แต่น้อย ส่วนคุณคือปัญญานี้ ย่อมสามารถแผ่รัศมีกำจัดมืดได้
ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง และสามารถรู้ทั่วถึงทั้งของหยาบและละเอียดได้
ทุกประการ พระบรมศาสดาจารย์ จึงทรงสรรเสริญว่าเป็นแสงสว่าง
ในโลกยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ดังพระสุคตภาษิตว่า