เมนู

อุปกรณ์วินัยมุข
กัณฑ์ที่ 23
สังฆกรรม
มูลเหตุที่ให้เกิดสังฆกรรมมี 2 คือ :-
1. ภิกษุบริษัทมากขึ้น.
2. มีพระพุทธประสงค์จะให้สงฆ์เป็นใหญ่ในการบริหารคณะ.
คำสวดในสังฆกรรมที่ต้องใช้ มี 2 คือ :-
1. ญัตติ คำเผดียงสงฆ์.
2. อนุสาวนา คำประกาศความปรึกษาและตกลงของสงฆ์.
สังฆกรรมแยกออกเป็น 4 คือ :-
1. อปโลกนกัมม์ กรรมที่ทำเพียงบอกกันในชุมนุมสงฆ์ ไม่มีญัตติ
และอนุสาวนา.
2. ญัตติกัมม์ กรรมที่ทำเพียงตั้งญัตติ ไม่มีอนุสาวนา.
3. ญัตติทุติยกัมม์ กรรมที่ทำด้วยตั้งญัตติและสวดอนุสาวนาหนเดียว.
4. ญัตติจตุตถกัมม์ กรรมที่ทำด้วยตั้งญัตติและสวดอนุสาวนา 3 หน.
(1) อปโลกนกัมม์ มี 5 คือ :-
1. นิสสารณา คือนาสนะสามเณรผู้กล่าวตู่พระพุทธเจ้า.
2. โอสารณา คือรับสามเณรรูปนั้นผู้ประพฤติเรียบร้อยแล้วเข้าหมู่.

3. ภัณฑูกัมม์ บอกขออนุญาตปลงผมคนจะบวชที่ภิกษุจะทำเอง.
4. พรหมทัณฑ์ คือประกาศไม่ว่ากล่าวภิกษุหัวดื้อว่ายาก.
5. กัมมลักขณะ เช่นอปโลกน์แจกอาหารในโรงฉันเป็นต้น.
(2) ญัตติกัมม์ มี 9 คือ :-
1. โอสารณา คือเรียกอุปสัมปทาเปกขะที่ถามอันตรายิกธรรมแล้ว
เข้าไปในสงฆ์.
2. นิสสารณา คือประกาศถอนพระธรรมกถึก ฯ ล ฯ
3. อุโบสถ.
4. ปวารณา.
5. สมมติต่างเรื่อง เช่นสมมติตนเป็นผู้ถามอันตรายิกธรรมเป็นต้น.
6. ให้คืนจีวรและบาตรเป็นต้น ที่เป็นนิสสัคคีย์ ฯ ล ฯ
7. รับอาบัติอันภิกษุแสดงในสงฆ์.
8. ประกาศเลื่อนปวารณา.
9. กัมมลักขณะ คือประกาศเริ่มต้นระงับอธิกรณ์ด้วยติฯวัตถารก-
วินัย.
(3) ญัตติทุติยกัมม์ มี 7 คือ :-
1. นิสสารณา คือคว่ำบาตร.
2. โอสารณา คือหงายบาตร.
3. สมมติต่างเรื่อง เช่นสมมติสีมาเป็นต้น.
4. ให้ต่างอย่าง เช่นให้ผ้ากฐินเป็นต้น.

5. ประกาศถอนหรือเลิกอานิสงส์กฐินเป็นต้น.
6. แสดงที่สร้างกุฎีให้แก่ภิกษุ.
7. กัมมลักขณะ คือญัตติทุติยกัมม์ที่สวดในลำดับไปในการระงับ
อธิกรณ์ด้วยติณวัตถารกวินัย.
(4) ญัตติจตุตถกัมม์ มี 7 คือ :-
1. นิสสารณา คือสงฆ์ทำกรรม 7 อย่าง มีตัชชนียกัมม์เป็นต้น.
2. โอสารณา คือสงฆ์ระงับกรรม 7 อย่างนั้น.
3. สมมติ คือสมมติภิกษุเป็นผู้ให้โอวาทแก่ภิกษุณี.
4. ให้ คือให้ปริวาสและมานัตแก่ภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
5. นิคคหะ คือปรับภิกษุผู้ประพฤติปริวาสหรือมานัตอยู่ ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสสซ้ำเข้าอีก ให้ตั้งต้นประพฤติใหม่.
6. สมนุภาสนา คือสวดห้ามภิกษุไม่ให้ถือรั้นการอันมิชอบ.
7. กัมมลักขณะ ได้แก่อุปสมบทและอัพภาน.
จำนวนสงฆ์ผู้ทำกรรม 4 ประเภทนี้ มี 4 คือ :-
1. จตุรวรรค สงฆ์มีจำนวน 4 รูป.
2. ปัญจวรรค " " 5 "
3. ทสวรรค " " 10 "
4. วีสติวรรค " " 20 "

สังฆกรรม 4 ประเภทนั้น มีกำหนดจำนวนสงฆ์อย่างต่ำ
สำหรับทำกรรมนั้น ๆ ดังนี้ คือ :-
1. สงฆ์จตุรวรรค ทำสังฆกรรมได้ทุกอย่างเว้นแต่ปวารณา ให้ผ้า
กฐิน อุปสมบท และอัพภาน.
2. สงฆ์ปัญจวรรค ทำปวารณา ให้ผ้ากฐิน อุปสมบทในปัจจันต-
ชนบท.
3. สงฆ์ทสวรรค ให้อุปสมบทในมัธยมชนบท.
4. สงฆ์วีสติวรรค ทำอัพภาน.
กรรมที่สงฆ์มีจำนวนน้อยกว่าทำได้ สงฆ์มีจำนวนมากกว่า
ทำได้โดยแท้.
ภิกษุผู้ควรเข้ากรรมได้ต้องประกอบด้วยองค์ 3 คือ :-
1. เป็นภิกษุปกติ.
2. มีสังวาสเสมอด้วยสงฆ์.
3. เป็นสมานสังวาสของกันและกัน.
กรรมย่อมวิบัติโดยเหตุ 4 ประการ คือ :-
1. วิบัติโดยวัตถุ.
2. " สีมา.
3. " ปริสะ.
4. " กรรมวาจา.

(1) กรรมวิบัติโดยวัตถุ เพราะเหตุ 4 คือ :-
1. อุปสมบทคนที่มีอายุหย่อนกว่า 20 ปี.
2. " คนที่เป็นอภัพพบุคคล.
3. สมมติสีมาคาบเกี่ยวหรือทับสีมาอื่น.
4. ทำผิดระเบียบ.
(2) กรรมวิบัติโดยสีมาเพราะเหตุเหล่านี้เป็นต้น คือ :-
1. สมมติสีมาใหญ่เกินกำหนด.
2. สมมติสีมาเล็กเกินกำหนด.
3. สมมติสีมามีนิมิตขาด.
4. สมมติสีมามีฉายาเป็นนิมิต.
5. สมมติสีมาไม่มีนิมิต.
(3) กรรมวิบัติโดยปริสะ เพราะเหตุ 3 คือ :-
1. ภิกษุผู้เข้าประชุมเป็นสงฆ์ไม่ครบกำหนดตามหน้าที่สังฆกรรม.
2. สงฆ์ครบกำหนดแล้ว แต่ไม่นำฉันทะของภิกษุผู้ควรนำมา.
3. มีผู้คัดค้านกรรมอันสงฆ์กระทำ.
(4) กรรมวิบัติโดยกรรมวาจานั้น เพราะเหตุ 7 คือ :-
1. ไม่ระบุวัตถุ.
2. " สงฆ์.
3. " บุคคล.
4. ไม่ตั้งญัตติ.

5. ตั้งญัตติต่อภายหลัง.
6. ทิ้งอนุสาวนาในกรรมวาจาที่มีอนุสาวนา.
7. สวดในกาลที่ไม่ควร.
ไม่ระบุวัตถุแยกเป็น 3 คือ :-
1. ไม่ระบุคน. เช่นผู้อุปสมบท ในการอุปสมบท.
2. ไม่ระบุของ. เช่นผ้ากฐิน ในการให้ผ้ากฐิน.
3. ไม่ระบุการที่ปรารภ. เช่นการสมมติสีมา.
ไม่ระบุบุคคลแยกเป็น 2 คือ :-
1. ไม่ระบุชื่ออุปัชฌาย์ ในการอุปสมบท.
2. ไม่ระบุชื่อภิกษุผู้รับ ในการให้ผ้ากฐิน.
ในคำว่าทิ้งอนุสาวนามีเกณฑ์อยู่ 3 คือ :-
1. สวดอนุสาวนาไม่ครบกำหนด.
2. สวดให้ตกหล่น.
3. สวดผิด.
(ข้อ 2-3 ถ้ามีในญัตติด้วย เข้าใจว่าเสียเหมือนกัน)
ผู้สวดกรรมวาจาต้องสนใจในประเภทพยัญชนะ 10 คือ :-
1. สิถิล พยัญชนะออกเสียงเพลา ได้แก่พยัญชนะที่ 1 ที่ 3 ใน
วรรคทั้ง 5.
2. ธนิต พยัญชนะออกเสียงแข็ง ได้แก่พยัญชนะที่ 2 ที่ 4 ใน
วรรคทั้ง 5.